เอกอัครราชทูตจีน ปาฐกถา ความสัมพันธ์ไทย–จีน กับธรรมาภิบาลโลก ในงานของสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน สถาบันสื่อและบริหารธุรกิจไทย-จีน  มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU)  และ China Media Group (CMG)

นายจาง เจี้ยนเว่ย เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย กล่าวปาฐกถา “ความสัมพันธ์ ไทย-จีน กับธรรมาภิบาลโลก” ย้ำหลัก 5 ประการ ตามแนวคิด ‘ธรรมาภิบาลโลกแบบมีความยุติธรรมและสมเหตุสมผล’ ของ ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” เพื่อสร้างสันติภาพโลก

เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ที่ผ่านมา  สมาคมผู้สื่อข่าวไทย–จีน ร่วมกับสถาบันสื่อและบริหารธุรกิจไทย–จีน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU)  และ China Media Group (CMG) ร่วมกันจัด งานปาฐกถาพิเศษ เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน หัวข้อ “ความสัมพันธ์ ไทย-จีน กับธรรมาภิบาลโลก” โดยได้รับเกียรติจาก นายจาง เจี้ยนเว่ย เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เป็นองค์ปาฐกในครั้งนี้ และนายชิบ จิตนิยม รองประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา กล่าวปาฐกถา หัวข้อ “ธรรมาภิบาลโลก อนาคตแห่งสันติภาพร่วมกัน” โดยมี ดร.กำพล มหานุกูล นายกสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน และ   ดร.ดาริกา ลัทธพิพัฒน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ร่วมต้อนรับ พร้อมด้วยผู้บริหาร คณาจารย์  สื่อมวลชน นักศึกษาของ DPU และผู้เรียนหลักสูตรผู้บริหารธุรกิจไทย–จีน (บทจ.) ร่วมรับฟัง ณ ห้องประชุมปรีดี พนมยงค์ DPU

ดร.ดาริกา ลัทธพิพัฒน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) กล่าวว่า ในวาระที่เฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีนครบ 50 ปี มีความหมายอย่างยิ่ง สะท้อนถึงมิตรภาพอันแน่นแฟ้นและมั่นคงระหว่างสองประเทศ ที่เติบโตบนพื้นฐานของความไว้วางใจ ความร่วมมือ และการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม การศึกษา และเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง DPU ให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือทางการศึกษา ผ่านโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาระหว่างทั้งสองประเทศ รวมถึงส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาจีน และการทำงานร่วมกับสถาบันขงจื่อเส้นทางสายไหมทางทะเล เพื่อเปิดโลกทัศน์ให้เยาวชนไทยได้เข้าใจประเทศจีนในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นภาษา วัฒนธรรม เทคโนโลยี หรือเศรษฐกิจของโลกในยุคใหม่

“เชื่อว่า ‘ธรรมาภิบาลโลก’ เป็นแนวคิดสำคัญของ ท่านสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน จะเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้เข้าร่วมงาน และจะช่วยเปิดมุมมองใหม่ในการเข้าใจบทบาทของทุกคนในสร้างสรรค์ประชาคมโลกของเรา รวมถึงแนวทางสู่การพัฒนาร่วมกันอย่างสันติและยั่งยืน” ดร.ดาริกา กล่าว

ดร.กำพล มหานุกูล นายกสมาคมผู้สื่อข่าวไทย–จีน กล่าวว่า มีความยินดีและเป็นเกียรติที่ได้ร่วมจัดงานครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมความเข้าใจด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการสื่อสารระหว่างสองประเทศ เชื่อมั่นว่าการปาฐกถาครั้งนี้จะช่วยเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับแนวคิดธรรมาภิบาลโลก มีบทบาทสำคัญในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงของโลก และเป็นอีกก้าวสำคัญในการเสริมสร้างมิตรภาพและความร่วมมือระหว่างไทย–จีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น รู้สึกภาคภูมิใจที่ผู้เข้าร่วมงานในวันนี้ทุกท่านจะได้รับฟังปาฐกถาอันทรงคุณค่าจากท่านเอกอัครราชทูต

นายจาง เจี้ยนเว่ย เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย กล่าวปาฐกถา “ความสัมพันธ์ ไทย-จีน กับธรรมาภิบาลโลก” ว่า ประเทศจีนและประเทศไทยเป็นเพื่อนบ้านที่ดี มิตรที่ดี ญาติที่ดี และหุ้นส่วนที่ดี ซึ่งต่างมีความต้องการร่วมกันในการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพ เสถียรภาพ และการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ความร่วมมือระหว่างจีน–ไทยในธรรมาภิบาลโลกจึงมีความสำคัญยิ่งในสถานการณ์ระหว่างประเทศปัจจุบัน เพราะธรรมาภิบาลโลกเกี่ยวข้องกับสันติภาพของมนุษยชาติและอนาคตของโลกทั้งใบ ซึ่งสมควรอย่างยิ่งที่เราจะได้มาร่วมกันศึกษาให้กว้างขวางขึ้น ในปีนี้เป็นวาระครบรอบ 80 ปีแห่งชัยชนะสงครามต่อต้านลัทธิฟาสซิสต์โลก และการก่อตั้งสหประชาชาติ ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ และเป็นจุดเริ่มต้นของอนาคตร่วมกันของ

“ประธานาธิบดีฯ สี จิ้นผิง ได้เสนอความคิดริเริ่มธรรมาภิบาลโลก โดยมีหลักการสำคัญ 5 มิติ ได้แก่ 1. การธำรงไว้ซึ่งความเท่าเทียมทางอธิปไตยเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับธรรมาภิบาลโลก ทุกประเทศไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก รวยหรือจน ล้วนต้องได้รับความเคารพเท่าเทียมกัน มีสิทธิเลือกเส้นทางการพัฒนาของตนเอง และต้องได้รับสิทธิในการมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมในกระบวนการตัดสินใจระดับโลก ซึ่งจีนยืนหยัดคัดค้านการใช้อำนาจเหนือผู้อื่น การบีบบังคับ และการเมืองเชิงอำนาจ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมทางสิทธิ ความยุติธรรมทางสังคม และการพัฒนาร่วมกัน 2. การธำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรมระหว่างประเทศเป็นหลักประกันขั้นพื้นฐานของธรรมาภิบาลโลก ซึ่งกฎหมายและกฎระเบียบระหว่างประเทศคือบรรทัดฐานร่วมของมวลมนุษย์ ทุกประเทศควรเคารพและปฏิบัติตามกฎบัตรสหประชาชาติอย่างเคร่งครัด ไม่ควรบิดเบือนหลักการเพื่อประโยชน์ของตนเอง 3. การธำรงไว้ซึ่งลัทธิพหุภาคีนิยมเป็นเส้นทางพื้นฐานสำหรับธรรมาภิบาลโลก ซึ่งจีนสนับสนุนการรักษาระบบระหว่างประเทศโดยมีสหประชาชาติเป็นแกนหลัก และระเบียบกฎหมายระหว่างประเทศ จีนส่งเสริมความร่วมมือผ่านเวทีความร่วมมือระหว่างประเทศ “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” องค์กรความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) กลไก BRICS  เพื่อร่วมกันสร้างการพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน 4. การยึดมั่นในแนวทางที่ยึด “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” คือ ค่านิยมของธรรมาภิบาลโลก   โดยเป้าหมายสูงสุดของธรรมาภิบาลโลก คือการทำให้ประชาชนของทุกประเทศมีความสุข ความมั่นคง และมีชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งจีนยึดแนวคิด “พัฒนาเพื่อประชาชน อาศัยประชาชน และเพื่อประโยชน์ของประชาชน” เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจที่สร้างความผาสุกและความมั่นคงแก่ประชาชนทั่วโลก และ 5. การยึดมั่นในแนวทางที่มุ่งเน้นการปฏิบัติจริงเป็นหลักการสำคัญของธรรมาภิบาลโลก โดยจีนเน้นการสร้าง “ชุมชนแห่งอนาคตร่วมของมนุษยชาติ” ผ่านการลงมือทำจริง เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เส้นทางสายไหมทางบกและทางทะเล ธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ ฯลฯ เพื่อส่งเสริมการเชื่อมโยงและความร่วมมือในระดับภูมิภาคและระดับโลกอย่างแท้จริง

“ตลอดครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา จีนและไทยได้ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด เคารพซึ่งกันและกัน และเป็นแบบอย่างของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เท่าเทียมและเกื้อกูล ประเทศไทยเป็นหุ้นส่วนสำคัญในการสร้างสรรค์ ‘หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง’ และเป็นพลังสำคัญในการส่งเสริมธรรมาภิบาลโลก คำว่า จีน–ไทย ใช่อื่นไกล
พี่น้องกัน ไม่ได้เป็นเพียงคำขวัญ แต่เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพอันยั่งยืน ความเท่าเทียม ความร่วมมือ และ
การพัฒนาอย่างสันติ” นายจาง เจี้ยนเว่ย กล่าวและเพิ่มเติมว่า แนวคิดธรรมาภิบาลโลกที่ประธานาธิบดีฯ สี จิ้นผิงเสนอไว้ ได้ชี้ทิศทางที่ชัดเจน เปิดพื้นที่ใหม่ให้ความร่วมมือระหว่างจีน–ไทยก้าวหน้าอย่างมั่นคง เป็นพลังขับเคลื่อนในการสร้างธรรมาภิบาลด้วยการปฏิบัติอย่างจริงจัง เพื่อสร้างมาตุภูมิที่สวยงามและสงบสุขต่อไป

นายชิบ จิตนิยม รองประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา กล่าวปาฐกถา หัวข้อ
“ธรรมาภิบาลโลก อนาคตแห่งสันติภาพร่วมกัน” ว่า จีนเป็นมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ แต่ไม่ข่มเหง รังแก หรือครอบงำประเทศอื่น ซึ่งเป็นหลักธรรมาภิบาลตามแนวคิดของประธานาธิบดีฯ สี จิ้นผิง การสร้างหรือดำเนินนโยบายต่างประเทศของจีน อยู่บนแนวทาง “ร่วมหารือ ร่วมสร้าง ร่วมแบ่งปัน” เป็นความมุ่งหมายของจีน เห็นได้จากดำเนินนโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางซึ่งเป็นการแบ่งปันเพื่อสร้างอนาคตร่วมกัน อีกทั้งจีนถือเป็นประเทศที่มีอิทธิพลทั้งทางการค้าและวัฒนธรรมไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลกโดยยึดมั่นหลักการเรื่องความเสมอภาค และสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจแบบ win-win โดยคุณธรรมต้องมาก่อนผลประโยชน์เสมอ ตนมีความเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์ไทย-จีนจะยังคงมั่นคงและพัฒนาก้าวหน้าไปอย่างต่อเนื่องอย่างยั่งยืน