ลองกองตันหยงมัส กับการปรับตัวรับมือสภาพภูมิอากาศ ในงานของดีเมืองนรา
“ลองกอง” เป็นผลไม้เศรษฐกิจสำคัญของภาคใต้ โดยเฉพาะ ลองกองตันหยงมัส จังหวัดนราธิวาส ที่ขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) มีรสชาติหวาน หอม เมล็ดลีบ และได้รับความนิยมทั้งในและต่างประเทศ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เกษตรกรผู้ปลูกลองกองต้องเผชิญ สภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน ทั้งฝนทิ้งช่วง ฝนตกหนัก และอุณหภูมิสูงขึ้น ส่งผลต่อ การออกดอก การติดผล และคุณภาพผลผลิต การปรับตัวรับมือสภาพภูมิอากาศ จึงเป็นเรื่องที่เกษตรกรต้องตระหนักและใช้เทคนิคและวิธีการต่างๆ เพื่อบริหารจัดการผลผลิต
นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า ฤดูกาลปกติลองกองจะเริ่มออกดอก ช่วงมีนาคม ถึงเดือนเมษายน และผลจะเจริญเติบโตต่อเนื่อง และเก็บเกี่ยวได้ เมื่ออายุผลประมาณ 5–6 เดือน ผลผลิตจะทยอยออกสู่ตลาด ไม่ออกพร้อมกันทั้งประเทศ ช่วงสิงหาคม – กันยายน ทำให้ตลาดมีผลผลิตต่อเนื่อง แต่เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา ผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ ทำให้ฝนตกไม่สม่ำเสมอ และปริมาณฝนเฉลี่ย ไม่มากส่งผลให้หลายพื้นที่ปรับตัวไม่ทัน ทำให้ต้นหยุดการเจริญเติบโต ซึ่งที่ผ่านมา กรมส่งเสริมการเกษตร ได้นำนวัตกรรมเข้าไปส่งเสริมและถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับเกษตรกร เรื่อง การทำสาวให้ลองกอง รวมถึงการวางระบบการให้น้ำ ให้กับเกษตรกรอีกทางหนึ่งด้วย
นอกจากนี้ กรมส่งเสริมการเกษตรได้ขับเคลื่อนแนวทาง Climate-Smart Agriculture (CSA) โดยให้เกษตรกรผู้ปลูกลองกอง เน้นการปรับตัวเชิงระบบเน้นให้ความรู้เกษตรกร เช่น การจัดการน้ำอย่างเหมาะสม สร้างระบบน้ำสำรองและระบบชลประทานขนาดเล็ก ส่งเสริมการคลุมดินและปลูกพืชร่วมเพื่อลดการสูญเสียน้ำ การปรับปรุงดินและรักษาสภาพแวดล้อม ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยพืชสด และ Biochar เพื่อรักษาความชุ่มชื้นและความอุดมสมบูรณ์ ลดการใช้สารเคมีและส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ การจัดการสวนให้สอดคล้องกับสภาพอากาศ ส่งเสริมการตัดแต่งกิ่งและการจัดทรงพุ่มเพื่อลดการสะสมโรค รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาพันธุ์ลองกองที่ทนต่อสภาพแวดล้อมและโรคแมลง การสร้างมูลค่าเพิ่มและการตลาด ผลักดันมาตรฐาน GAP และ GI ส่งเสริมการแปรรูป เช่น น้ำลองกอง แยม ขนมขบเคี้ยว ใช้ Storytelling เชื่อมโยงลองกองกับวัฒนธรรมท้องถิ่น เสริมพลังเครือข่ายเกษตรกร กรมฯ ยังสนับสนุนการรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนลองกอง สร้างเครือข่ายผู้ผลิต ผู้แปรรูป ผู้ค้า เชื่อมโยงการตลาดออนไลน์ และพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ (Young Smart Farmer) เพื่อถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีให้ต่อเนื่อง
การปรับตัวของเกษตรกรผู้ปลูกลองกองไม่ใช่เพียงการรับมือกับความเสี่ยงจากสภาพอากาศ แต่คือการสร้างโอกาสใหม่ในการแข่งขัน ผ่านคุณภาพ ความปลอดภัย และการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อยืนหยัดในตลาดผลไม้ไทยและตลาดโลกอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังรวมถึงการทำเกษตรผสมผสาน ที่เป็นอีกหนึ่งแนวทางความยั่งยืน
อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมส่งเสริมการเกษตรได้ร่วมจัดงาน “ของดีเมืองนรา” ครั้งที่ 48 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 – 22 กันยายน 2568 ภายใต้แนวคิด “ตามรอยพระปณิธาน สืบสานศาสตร์พระราชา นวัตกรรมก้าวหน้า ชาวนราเป็นสุข”ณ สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบ อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส
ความโดดเด่นของงานในปีนี้ กรมส่งเสริมการเกษตร นิทรรศการภายใต้แนวคิด “ส่งเสริมเกษตรมูลค่าสูง เพิ่มพูนรายได้ชาวนรา พัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน” และยกย่องเกษตรกรต้นแบบที่สามารถปรับตัวรับมือกับสภาพภูมิอากาศและสร้างความมั่นคงในอาชีพการเกษตร เช่น นายมะซากรี มะแซ เกษตรกรอำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ที่ใช้เกษตรผสมผสาน เพื่อรับมือภัยแล้งและน้ำหลาก แก้ไขปัญหาน้ำ ท่วมขังในช่วงน้ำ หลากด้วยการปลูกผักยกแคร่ การปลูกหญ้าแฝกเพื่อชะลอการไหลของน้ำ และการเลี้ยงสัตว์แบบโรงเรือนยกสูง รวมถึงเครือข่ายเกษตรกรต้นแบบจากอำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส อย่างนายอับดุลกอเดร์ เจ๊ะเด็ง ที่เรียนรู้การปลูกพืชหลากหลาย ไม่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว การจัดการพื้นที่และการวางแผนจัดสรรพื้นที่ให้เหมาะสม และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรได้อย่างเต็มที่ และนางสาวอาอีเสาะ อิงดิง ที่สร้างรายได้เพิ่มจากการปรับพื้นที่และใช้ทรัพยากรเหลือใช้ในฟาร์มอย่างคุ้มค่า เรื่องราวเหล่านี้สะท้อนความมุ่งมั่นของเกษตรกรและกรมส่งเสริมการเกษตรในการสร้างระบบการผลิตที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับลองกองตันหยงมัสให้เป็นสินค้ากลยุทธ์ของภาคใต้ และก้าวสู่ตลาดโลกอย่างมั่นคงและยั่งยืน