กยท. มั่นใจจีนยกเว้นภาษีนำเข้ายางพาราไทย 0%

กยท. ประสบผลสำเร็จในการเจรจากับรัฐบาลจีน ยกเว้นภาษีนำเข้ายางพาราจากไทยเหลือ 0%  เผย สามารถเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้ไทยขยายตลาดยางได้เพิ่มขึ้น  พร้อมมั่นใจกฎ EUDR จะช่วยให้จีนต้องการยางจากไทยมากขึ้น สร้างความมั่นคงและเพิ่มเสถียรภาพให้ยางพาราของไทยอย่างแน่นอน

            ดร.เพิก เลิศวังพง รักษาการแทนผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า  ประเทศไทยประสบผลสำเร็จในการเจรจากับรัฐบาลจีนในการยกเว้นภาษีนำเข้ายางพาราธรรมชาติจากไทย (ครอบคลุมพิกัดศุลกากร HS Code 4001, 4002 ) ที่ขนส่งผ่านช่องทางแม่น้ำโขง เป็น 0% จากเดิมที่ต้องเสียภาษีนำเข้าประเทศจีนถึง 20% ถือเป็นการสร้างโอกาสให้ไทยสามารถขยายตลาดยางในจีนได้เพิ่มขึ้น และมีศักยภาพในการแข่งขันเท่าเทียมกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง ไม่ว่าจะเป็นประเทศลาว เมียนมา และกัมพูชา ซึ่งได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าเป็น 0% ก่อนหน้านี้ เนื่องจากเป็นประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด (LDCs) ประกอบกับกลุ่มทุนประเทศจีนได้เข้าไปลงทุนในประเทศดังกล่าวโดยตรง ทั้งในด้านการปลูกยางและตั้งโรงงานแปรรูป  ที่ผ่านมาจึงได้รับสิทธิประโยชน์เหนือกว่ายางพาราไทย

            ทั้งนี้ กยท. เตรียมนำร่องทดสอบส่งออกออกยางล็อตแรก เป็นยางก้อนถ้วย จำนวน 400 ตัน ซึ่งรวบรวมจากสถาบันที่ขึ้นทะเบียนกับ กยท. ส่งไปยังประเทศจีนผ่านช่องทางแม่น้ำโขง โดยจะมีอัตราภาษีนำเข้า 0% ในเดือนกันยายนนี้ ถือเป็นโอกาสในการศึกษากระบวนการดำเนินงานต่างๆ เช่น การขนถ่ายลงเรือ ขั้นตอนพิธีการศุลกากรทั้งฝั่งไทยและจีน เพื่อให้สามารถปรับปรุงแก้ไขจุดบกพร่องต่างๆ ก่อนที่จะดำเนินการส่งออกยางในเชิงพาณิชย์อีกจำนวน 2,400 ตันในเดือนตุลาคม 2568 และจะเพิ่มปริมาณการส่งออกเป็นกว่าเดือนละ 10,000 ตัน ในลำดับต่อไป

            รักษาการแทนผู้ว่าการ กยท. กล่าวต่อไปว่า  ประเทศจีนเป็นตลาดส่งออกยางพาราที่ใหญ่ที่สุดของไทยประมาณปีละ 2-3 ล้านตัน จากกำลังการผลิตของไทยประมาณปีละ 5 ล้านตัน  ดังนั้น หากจีนลดภาษีนำเข้ายางจากไทยเหลือ 0% จะทำให้ไทยมีโอกาสขยายตลาดยางในประเทศจีนได้เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน  ซึ่งในปัจจุบันจีนมีความต้องการใช้ยางพาราปีละประมาณ 7 ล้านตัน โดยประเทศไทยยังครองส่วนแบ่งตลาดยางสูงสุดประมาณ 32% รองลงมาเป็นมาเลเซีย 13%  ญี่ปุ่น 10% และอินโดนีเซีย 7% ตามลำดับ

            นอกจากนี้ กระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในปัจจุบันยังเป็นปัจจัยหนุนที่ทำให้ไทยสามารถขยายตลาดยางได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการที่สหภาพยุโรปจะบังคับใช้กฎหมาย EU Deforestation-free Products Regulation (EUDR)  ซึ่งจะต้องสามารถตรวจสอบย้อนกลับสินค้าและผลิตภัณฑ์จากยางตั้งแต่แหล่งกำเนิดของวัตถุดิบได้ว่ามาจากสวนยางที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่อยู่ในพื้นที่ต้นน้ำ พื้นที่อนุรักษ์ และพื้นที่ป่า รวมทั้งจะต้องการจัดการสวนยางพาราที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยเป็นเพียงประเทศเดียวที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงที่มาของยางพาราได้  ดังนั้น หากจีนต้องการส่งออกยางรถยนต์และผลิตภัณฑ์ยางพาราไปสหภาพยุโรป หรือประเทศอื่นๆ ที่มีการบังคับใช้กฎระเบียบเช่นเดียวกับ EUDR จะทำให้จีนเพิ่มกำลังซื้อยางพาราจากไทยอย่างแน่นอน

            ทั้งนี้ ในปัจจุบันประเทศจีนได้รับการขนานนามว่าเป็นแหล่งรวมโรงงานผลิตยางล้อรถยนต์อันดับ 1 ของโลก ซึ่งมีโรงงานยางล้อกว่า 300 แห่ง  โดยมีบริษัทผลิตยางรถยนต์รายใหญ่ยี่ห้อดังของโลกไม่น้อยว่า 26 บริษัท ได้เข้ามาตั้งโรงงานผลิตในจีน มียอดการผลิตรวมไม่น้อยกว่า 500 ล้านเส้นต่อปี  และมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประมาณ 40 % ของยางรถยนต์ที่ผลิตในจีนจะถูกส่งออกไปยังต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป เป็นต้น นอกจากนี้ จีนยังส่งออกผลิตภัณฑ์ยางพาราอื่นๆ อีกด้วย เช่น สายพานยาง  รองเท้าแตะ เป็นต้น 

            “การที่จีนปรับลดภาษีนำเข้ายางพาราจากประเทศไทยเหลือ 0% แม้ว่าช่วงเริ่มต้นจะเป็นการซื้อเฉพาะยางจากสหกรณ์การเกษตรก็ตาม แต่นับเป็นแนวโน้มที่ดีในอนาคตที่จะทำให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันทัดเทียมกับประเทศเพื่อนบ้าน และมีความเป็นไปได้สูงที่จะขยายตลาดยางในประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกยางที่ใหญ่ที่สุดของไทยได้เพิ่มขึ้น สร้างเสถียรภาพด้านราคายางและความมั่นคงให้เกษตรกรชาวสวนยางได้อย่างแน่นอน” รักษาการแทนผู้ว่าการ กยท. กล่าวย้ำในตอนท้าย