สมาคมการค้าฯ ไทย-จีน เข้าพบ รองหัวหน้าพรรคกล้า ฟังมุมมองนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ “วรวุฒิ อุ่นใจ” ฟันธง การค้าไทย-จีนคือคำตอบเศรษฐกิจไทย บูทโตได้อีก 50% ถ้า “กล้า” เป็นรัฐบาล

เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 คณะผู้บริหารสมาคมการค้าวาณิชย์ธุรกิจไทย-จีน นำโดยนายไต้เซี่ยงชุน ประธานสมาคมฯ เดินทางเข้าพบ นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคกล้า เพื่อหารือถึงมุมมองนโยบายพรรคที่มีต่อเศรษฐกิจไทยจีน โดยพรรคกล้าถือเป็นพรรคการเมืองพรรคแรกที่สมาคมฯ ได้เข้าหารือ เนื่องจากเป็นพรรคที่มีนักธุรกิจและคนรุ่นใหม่รวมตัวกันมากที่สุด สอดคล้องกับแนวทางของสมาคมฯ ที่รวบรวมคนหนุ่มสาว ที่มีมุมมอง กล้าคิด กล้าทำ กล้าเปลี่ยน ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่มีทิศทางต่อผู้ประกอบการไทยจีน
นายวรวุฒิ กล่าวว่า โดยส่วนตัวสมัยเคยทำธุรกิจและเป็นประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ก็เดินทางไปจีนทุกปี และเห็นช่องทางการทำการค้าของทั้งสองประเทศ และเห็นว่าสินค้าไทยจีนที่ดีๆ ยังมีอีกมากมายที่ยังไม่ได้ทำตลาดระหว่างกัน โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ผลไม้ ของไทย รัฐบาลก็ยังไม่ทำให้การค้าขายคล่องตัว ทั้งที่ยังมีตลาดจีนรองรับได้อีกมหาศาล ถ้าพรรคกล้าได้มีโอกาสเข้าไปทำงานในรัฐบาล จะเข้าไปปฏิรูประบบราชการให้เอื้อต่อการทำการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น เพราะเราเสียโอกาสตรงนี้ไปมากและยาวนานเกิน จนต้องหลายประเทศหันไปค้าขายกับเพื่อนบ้านแทน
“ตอนนี้บอกได้เลยว่า การค้าไทย-จีน คือ คำตอบของเศรษฐกิจไทย จีนคือคู่ค้าที่สำคัญที่สุด รัฐควรผลักดันให้กระบวนการค้าซื้อขาย สะดวกและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น การค้าไทย-จีน ก็จะบูท เพราะหากหลังโควิดเศรษฐกิจไม่ฟื้น ประเทศไทยก็จะเจ็บหนักและนาน เพราะกู้เงินมาเยอะมาก วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้คนไทยอยู่ดีกินดี เศรษฐกิจกลับมาสู่ปกติ คือ การค้าการขาย ที่ผ่านมีจีดีพีไทยโตน้อยมาก การค้าระหว่างประเทศก็น้อย การลงทุนนานาชาติก็หนีไปเวียดนาม เป็นสิ่งที่เราต้องแก้ ต้องบูทขึ้นมา ให้จีดีพีโต การลงทุนโต การเทรดดิ้งโต เศรษฐกิจก็จะเดินไปเอง ซึ่งเป็นหลักการของพรรคกล้า ที่ต้องการให้เศรษฐกิจไทยพลิกฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว ถ้าพรรคกล้าได้มีโอกาสเป็นรัฐบาล เราสามารถบูทการค้าไทยจีนให้โตได้อีก 50% ” รองหัวหน้าพรรคกล้า กล่าว

นายวรวุฒิ กล่าวด้วยว่า นโยบายพรรคกล้า สนับสนุนเกษตรกร และคนตัวเล็ก ตนในฐานะที่เป็นผู้ก่อตั้ง อีคอมเมิร์ส รู้ดีว่า กฎ ระเบียบในบ้านเรา ไม่เอื้ออำนวย และไม่เปิดโอกาสให้เอสเอ็มอี สามารถขยายตลาดไปจีน และจีนเข้ามาขายในไทยได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่พรรคกล้าจะผลักดันให้เกิดการค้าขายผ่านระบบออนไลน์ อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะจะสามารถบูทเศรษฐกิจให้โตได้ นอกจากนี้สินค้าบางรายการ เช่น ที่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ อีวี กฎระเบียบ ภาษี สถานีชาร์จ ก็ยังไม่เอื้อ เมื่อเทียบกับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเป็นรถที่ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม และลดต้นทุนเชื้อเพลิง ที่นับวันจะมีราคาสูงขึ้น
รองหัวหน้าพรรคกล้า กล่าวด้วยว่า รถไฟความเร็วสูง จีน-ลาว ที่จะเปิดอย่างเป็นทางการวันที่ 2 ธันวาคม 2564 สิ่งจะเกิดขึ้นตามมา ถ้ามองในมุมบวกคือ อีสานจะเป็นทำเลทองการค้า แต่วันนี้ ศูนย์พักสินค้าของไทยกลับไปอยู่ฝั่งลาว แทนที่จะอยู่ฝั่งไทย เพราะเรามีประชากรผู้บริโภคที่มากกว่าลาวเป็นสิบเท่า ที่ไปอยู่ฝั่งลาวทำให้เราเสียเปรียบก็เพราะระบบราชการที่ไม่ทันเกม ล้าหลัง มีขั้นตอน อุปสรรคมากมาย จนเสียโอกาสไป เราต้องเข้าไปแก้ไปดึงกลับมาอยู่ฝั่งไทยให้ได้
นอกจากนี้ นายวรวุฒิ ยังมองว่า ระบบโลจิสติกส์ เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญ เปรียบเหมือนเส้นเลือดใหญ่ที่ส่งไปหล่อเลี้ยงร่างกาย หากโลจิสติกส์ไม่ดีเลือดก็ไม่สามารถไปเลี้ยงร่างกายได้ สิ่งที่พรรคกล้ามีนโยบายคือ จะสร้างเครือข่ายโลจิสติกส์ กระจายสินค้าจากเหนือไปใต้ เหนือก็เชื่อมจีน เราส่งต่อไปยังภาคใต้ที่เชื่อมมาเลเซียและอินโดนีเซีย โดยการบูทเป็นคลัสเตอร์ เฉพาะหัวเมืองเศรษฐกิจ เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น หาดใหญ่ ลงสู่จังหวัดชายแดนใต้ โดยอาจใช้ จ.นครสวรรค์เป็นศูนย์กระจายสินค้า การค้ามันก็จะวิ่งตามเส้นทางนี้ ระบบมันก็จะดี แต่ทั้งนี้ ระบบการกระจายสินค้าต้องเอา Economic service นำ ไม่ใช่ Public service นำ เพราะหากกระจายไปสู่จังหวัดที่ไม่มีการค้าขาย หรือขายได้น้อย ก็จะทำให้การลงทุนสูญเปล่า เราต้องใช้หัวเมืองบูท และให้เมืองอื่นเร่งเครื่องตาม เศรษฐกิจท้องถิ่นก็จะดีขึ้นตามไปด้วย ขณะเดียวกันต้นทุนโลจิสติกส์ก็ต้องลดต่ำลง ในทุกมิติ ทั้ง เรือ ราง และระบบขนส่งต่าง ๆ ต้องต่ำกว่า 5% ของมูลค่าเศรษฐกิจ ก็จะสามารถแข่งขันได้ ที่สำคัญการซื้อขายในประเทศไซส์ก็จะลดลงเรื่อย ๆ จากประชากรที่เกิดใหม่ลดลง ต้องบุกการค้าระหว่างประเทศให้มากขึ้น
รองหัวหน้า กล่าวด้วยว่า ในด้านการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศ คิดเป็น 20% ของจีดีพี ปัจจุบันเรายังกินบุญเก่าอยู่ ในระยะยาวก็น่าเป็นห่วงหากไม่บูทการค้าการขาย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ 70-80% ของไทย มาจากคนจีน เราควรสร้างประโยชน์ในเชิงท่องเที่ยวให้เป็น เช่น ท่องเที่ยวเชิงช็อปปิ้ง ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าคนจีนซื้อของในไทยน้อยมาก เนื่องจากราคาค่อนข้างสูง สินค้า แฟชั่น เครื่องสำอาง เสื้อผ้า ฯลฯ รัฐบาลไทยมองว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยจึงเก็บภาษีแพง ทั้งที่ในความเป็นจริงสินค้าเหล่านี้ถูกจัดเป็นสินค้าไลฟ์สไตล์ไปหมดแล้ว ควรลดภาษี เพื่อกระตุ้นยอดขาย และไปเพิ่มภาษีรายได้จากการลงทุน และการเติบโตของภาคธุรกิจแทน เราอาจจะมีเมืองปลอดภาษีเพิ่ม อาจจะเริ่มที่ จ.เชียงใหม่ จ.ภูเก็ต ที่คนจีนมาเที่ยว กันมาก ก็เพิ่มเป็นแหล่งช็อปปิ้งแบบดิวตี้ฟรี แต่เราจะไม่ทำพร้อมกันทั้งประเทศ เพราะเราก็ยังต้องการรายได้จากภาษีอีกมาก แต่จะทำแค่บางเมือง บางจังหวัด เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว
“เราเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวเยอะ แต่เขาไม่ซื้อของบ้านเราเพราะมันแพง ต้องปรับ การท่องเที่ยวไทยจีน จะดีขึ้นมหาศาล และสิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปด้วยคือเรื่องการดูแลความปลอดภัย เพราะนักท่องเที่ยวจีนมาเสียชีวิตที่ประเทศไทยมากที่สุดในโลก นอกจากนี้ การท่องเที่ยวเชิงกิจกรรม ทั้งแอดเวนเจอร์ การกีฬา เราก็ยังขาดไป ยกตัวอย่าง การยิงปืนจีนนิยมมาเมืองไทยมาก เพราะบ้านเขาทำไม่ได้ ถ้าเราเปิดสนามยิงปืน โดยการร่วมทุนกับจีน ก็เป็นโอกาส เราต้องคิดแบบมองประเทศไทยเป็นห้าง มาเที่ยวที่นี่แล้วจะไปไหนต่อ มาเที่ยวดูวิว ทิวทัศน์ ไม่กี่ครั้งก็เบื่อ แต่ถ้าให้มีกิจกรรม มากินอาหาร มาช็อปปิ้ง อย่างที่ จ.อยุธยา คนจีนิยมมาเที่ยว ควรจะบูรณะทั้งจังหวัด และทำให้เหมือนเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ที่มีการโซนนิ่ง ให้เป็นเมืองโบราณ ให้คนมาพักผ่อนได้ ทำ Live & Sound เพิ่ม รีโมทให้ทันสมัย มีแหล่งช็อปปิ้ง และสตรีทฟูดส์ก็ทำให้ได้มาตรฐาน แค่นี้ก็ทำรายได้มหาศาล จริง ๆ เราไม่ควรแพ้เกาหลี เวียดนามที่เวลานี้เขาเติบโตแซงไทยไปแล้ว ถ้าไม่พัฒนาอีกหน่อยก็จะไปเวียดนามเพราะเขาคิดแบบสดใหม่ ในขณะที่เราคิดแบบกรอบเดิมและกินบุญเก่า” นายวรวุฒิ กล่าว
นายวรวุฒิ กล่าวด้วยว่า ถ้าพรรคกล้าได้เป็นรัฐบาล เราจะผลักดันการร่วมทุนไทยจีนทำอีคอมเมิร์ส แล้วตั้งเป็นคลัสเตอร์สินค้าในกลุ่มต่าง ๆ ในรูปแบบของ อีคอมเมิร์สปาร์ค เช่น แฟชั่น เกษตร อุตสาหกรรม ฯลฯ การค้าต้องเป็นสองทาง ไทยไปจีน จีนมาไทย ต้องได้ประโยชน์ทั้งสองประเทศ ไม่ใช่เอื้อเฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่ง และเราจะไม่ได้มองเพียงแค่ไทยเท่านั้น เพราะในพื้นที่ภูมิศาสตร์ไทยคือ ศูนย์กลางของ CLMV เราต้องมองเป็นหนึ่งตลาดของเราด้วย นอกจากนี้ การผลักดันในเรื่องเศรษฐกิจสร้างสรรค์ หรือ Soft power ซึ่งเป็นนโยบายที่พรรคได้ผลักดันเป็นพรรคแรก ๆ ก็สามารถดำเนินการควบคู่กันไปได้ ทั้งเรื่องของ อาหารการกิน กีฬา วัฒนธรรม ศิลปะ ภาพยนตร์ เพลงและการท่องเที่ยว ที่ประเทศไทยยังมีโอกาสอีกมาก