คลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทรใกล้จริง

พื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง โดยเฉพาะในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  นอกจากจะมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ มีราชธานีเก่าของไทย  มีวัดวาอาราม โบราณสถาน ตลอดจนสถานที่สำคัญๆ มากมายแล้วยังเป็นจังหวัดที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจมีนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่หลายแห่ง  และยังภูมิทัศน์ที่สวยงามท้องทุ่งนาเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา ดินดี น้ำดี เหมาะแก่การเพาะปลูก  มีแม่น้ำสายสำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำน้อย แม่น้ำลพบุรี และแม่น้ำป่าสักไหลผ่าน วิถีชีวิตผู้คนบริเวณนี้จึงมีความผูกผันกับสายน้ำมาหลายชั่วอายุคน ตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยาเรืองรองมาจนถึงปัจจุบัน

            อย่างไรก็ตามจังหวัดพระนครศรีอยุธยาประสบกับปัญหาความเดือดร้อนจากน้ำท่วมเป็นประจำเกือบทุกปี ทำให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนและพื้นที่เกษตรกรรม โดยเฉพาะใน อ.บางบาล อ.เสนา อ.ผักไห่ และ อ.พระนครศรีอยุธยา  เนื่องจากแม่น้ำเจ้าพระยามีลักษณะคดเคี้ยว ตื้นเขิน และแคบเป็นคอขวดโดยฌพาะในช่วงที่ไหลผ่านตัวเมืองพระนครศรีอยุธยา ประสิทธิภาพการระบายน้ำลดลงเหลือเพียง 1,200 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาทีเท่านั้น   อีกทั้งบริเวณเกาะเมืองอยุธยายังเป็นจุดบรรจบของแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำป่าสัก ทำให้เกิดการชะลอน้ำบริเวณจุดบรรจบ เอ่อล้นตลิ่งอยู่เป็นประจำ และมีผลกระทบรุนแรงในปีที่มีปริมาณน้ำมาก  อย่างเช่นเมื่อปี พ.ศ. 2554 ที่เกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ และในปี พ.ศ. 2568  ช่วงที่ผ่านมานี้ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวก็ประสบปัญหาน้ำท่วมเช่นกัน

            นายเศกสิทธิ์ โพธิ์ชัย ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ กรมชลประทาน เปิดเผยว่า กรมชลประทานได้ศึกษาปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ลงมาจนถึง กรุงเทพฯ และก่อนไหลลงสู่อ่าวไทย ที่มักจะได้รับผลกระทบจากน้ำเหนือไหลหลากลงสู่พื้นที่ลุ่มต่ำเป็นประจำในช่วงฤดูฝน พบว่า ปัญหาน้ำท่วมมีสาเหตุสำคัญมากจาก  1. ปริมาณน้ำเหนือมาก 2.พื้นที่ให้น้ำไหลผ่านลดน้อยลง และ 3.น้ำไหลออกสู่อ่าวไทยช้า กล่าวคือ ปริมาณน้ำจากแม่น้ำ 4 สาย ปิง วัง ยม น่าน จากด้านเหนือไหลมาบรรจบเป็นแม่น้ำสายเดียว คือ แม่น้ำเจ้าพระยา ที่จังหวัดนครสวรรค์ ไหลผ่านลงสู่ 9 จังหวัดด้านล่างก่อนจะออกอ่าวไทย

            นอกจากนี้พื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง ลักษณะภูมิประเทศทั้ง 2 ฝั่งลำน้ำเป็นที่ลุ่มต่ำ สภาพแม่น้ำคดเคี้ยว แม่น้ำ ลำคลอง ไม่มีศักยภาพเพียงพอจะรับมวลน้ำเหนือได้ ซ้ำบางช่วงเวลายังมีน้ำทะเลหนุน จึงเกิดเป็นปัญหาน้ำท่วมในช่วงฤดูน้ำหลากมาโดยตลอด  ดังนั้นเพื่อให้การแก้ปัญหาดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประ สิทธิภาพ  กรมชลประทานจึงจัดทำโครงการบรรเทาอุทกภัยลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง 9 แผนงานขึ้นมาภายใต้แผนบริหารจัดการน้ำของประเทศและแผนบริหารจัดการน้ำลุ่มเจ้าพระยาทั้งระบบ

            โครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แผนงานลำดับที่ 7 เป็น 1 ใน 9 แผนงานดังกล่าวที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยา และบรรเทาอุทกภัยในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง  รวมทั้งยังจะช่วยพลิกวิกฤติน้ำหลากให้เป็นสายน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตของคนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

            คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการการเตรียมความพร้อมดำเนินโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2560  เพื่อให้กรมชลประทานดำเนินการ กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในขั้นตอนการสำรวจ-ออกแบบรายละเอียด และชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการ ฯ และดำเนินการในกระบวนการจัดหาที่ดินเพื่อการก่อสร้าง และงานเตรียมความพร้อมเพื่อการก่อสร้าง

ต่อมาวันที่ 8 มกราคม 2562 คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ดำเนินโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา กำหนดแผนงานโครงการ 5 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ.2562-2566) กรอบวงเงินงบประมาณโครงการทั้งสิ้น 21,000 ล้านบาท  และในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 คณะรัฐมนตรีมีมติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา จากเดิม 5 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ.2562-2566) เป็น 8 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ.2562-2569) และอนุมัติเพิ่มกรอบวงเงินจากเดิม 21,000 ล้านบาท เป็นวงเงิน 25,400 ล้านบาท”

            ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่  กล่าวต่อว่า เป้าหมายโครงการ ฯ นอกจากเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านคลองบางหลวง อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง คลองบางบาล อ.บางบาล และคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยาโดยไม่ผ่านเขตเมืองหลักของอยุธยา ช่วยลดระดับน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำ บรรเทาหรือป้องกันความเสียหายต่อพื้นที่เกษตรกรรม โบราณสถานสำคัญในจังหวัด พื้นที่เศรษฐกิจ และจะเป็นแหล่งสำรองน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภคให้พื้นที่ใกล้เคียงในฤดูแล้งแล้ว ยังเป็นการเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ในอนาคตทั้งด้านเกษตรกรรม เพื่อให้เกษตรกรมีความมั่นคงทางน้ำ วางแผนเพาะปลูกได้มั่นคงขึ้น ตลอดจนถนนบนคันคลองทั้งสองฝั่งจะเป็เส้นทางคมนาคมเชื่อมโยงเครือข่ายการสัญจรได้สะดวกมากขึ้น เสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้ประชาชนในพื้นที่

            “โครงการคลองระบายน้ำหลาก ฯ แม้จะเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับประชาชนที่มีเป้าหมายร่วมกัน คือ สร้างพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยและยั่งยืนให้กับลูกหลานในอนาคต ด้วยหัวใจเดียวกันที่เชื่อว่า น้ำจะไม่ใช่อุปสรรคแต่เป็นพลังแห่งชีวิต แต่ก็นับเป็นอีกก้าวของการพัฒนาความสุขของผู้คนทั้งลุ่มน้ำเจ้าพระยาไปพร้อมกัน”

ด้านนายวงศ์พันธ์ วงศ์สมุทร ผู้อำนวยการสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดใหญ่ที่ 10ซึ่งรับผิดชอบการก่อสร้างโครงการ กล่าวว่า “โครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทรประกอบด้วยงานสำคัญๆ ได้แก่งานขุดคลองระบายน้ำหลากสายใหม่ ความยาว 22.50 กิโลเมตร (ก.ม.) ระบายน้ำได้สูงสุด 1,200 ลบ.ม.ต่อวินาที พร้อมก่อสร้างถนนผิวจราจรกว้าง 8 เมตร บนคันคลองทั้งสองฝั่ง  งานก่อสร้างประตูระบายน้ำปากคลองน้ำหลาก ควบคุมการระบายน้ำไหลเข้าคลอง งานก่อสร้างประตูระบายน้ำปลายคลองน้ำหลาก ควบคุมการระบายน้ำออกจากคลอง มีอัตราการระบายน้ำสูงสุด 1,200 ลบ.ม.ต่อวินาที พร้อมประตูเรือสัญจรและบันไดปลา งานก่อสร้างอาคารประกอบคลองระบายน้ำหลาก จำนวน 37 แห่ง ประกอบด้วย สถานีสูบระบายน้ำและท่อระบายน้ำปากคลองในบริเวณจุดตักับคลองธรรมชาติ  และสถานีสูบจ่ายน้ำและท่อระบายน้ำปลายคลองในบริเวณจุดตัด กับคลองส่งน้ำที่มีอยู่เดิม 

นอกจากนี้ยังมีงานก่อสร้างสะพานรถยนต์ข้ามคลองระบายน้ำหลากฯ จำนวน 11 แห่ง เพื่อเชื่อมการสัญจรทั้งสองฝั่งคลองระบายน้ำหลากฯ ก่อสร้างกำแพงป้องกันตลิ่งแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน้อยบริเวณจุดบรรจบคลองระบายน้ำหลากฯ และสร้างคันกั้นน้ำโดยรอบพื้นที่โครงการพร้อมอาคารประกอบ รวมความยาว 54 กิโลเมตร

            “ก่อนจะเริ่มดำเนินการก่อสร้าง กรมชลประทานได้ดำเนินการมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐกับประชาชน โดยการจัดประชุมปฐมนิเทศโครงการเมื่อวันพุธที่ 23 สิงหาคม2560 เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทราบถึงความจำเป็น ความสำคัญและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการพัฒนาโครงการ

ต่อมาเมื่อวันที่ 10-11 ตุลาคม2560 ได้จัดประชุมกลุ่มย่อยครั้งที่ 1 จำนวน 3 เวที กับผู้อาศัยครอบคลุมพื้นที่แนวคลอง 22.5 กิโลเมตร เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทราบความก้าวหน้าของการศึกษา ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับและผลกระทบจากการพัฒนาโครงการ ตลอดจนรับฟังความคิดเห็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปใช้ประกอบงานสำรวจ-ออกแบบ ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน  และจัดประชุมกลุ่มย่อยครั้งที่ 2 และ 3    ดำเนินการรวมทั้งสิ้น 7 เวที ระหว่างวันที่ 3 เมษายน 2561 – วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562   และสุดท้ายได้จัดประชุมปัจฉิมนิเทศโครงการเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2562 เพื่อนำเสนอผลสรุปการดำเนินงานสำรวจ-ออกแบบของโครงการให้กับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบ”

            สำหรับประตูระบายน้ำปากคลองบางบาล ต.บางชะนี อ.บางบาล ควบคุมการระบายน้ำได้ 130 ลบ.ม.ต่อวินาที ได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้วในปี2564   ประตูระบายน้ำปากคลองบางหลวง ต.โผงเผง อ.ป่าโมก ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2567 หากแล้วเสร็จจะสามารถควบคุมการระบายน้ำได้ 400 ลบ.ม.ต่อวินาที และสำหรับคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร สามารถควบคุมการระบายน้ำได้ 1,200 ลบ.ม.ต่อวินาที รวมศักยภาพในการระบายน้ำหลากของแม่น้ำเจ้าพระยาได้เพิ่มขึ้น 1,730 ลบ.ม.ต่อวินาที จากเดิม 1,200 ลบ.ม.ต่อวินาที เป็น 2,930 ลบ.ม.ต่อวินาที โดยความคืบหน้าของโครงการซึ่งเริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 นั้น ล่าสุดในส่วนของงานประตูระบายน้ำปากคลองน้ำหลาก ประตูระบายน้ำปลายคลองน้ำหลาก  งานขุดคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร ความยาว 22.5 กิโลเมตร  ตลอดจนงานก่อสร้างอาคารประกอบ สะพานรถยนต์ข้ามคลองระบายน้ำหลาก กำแพงป้องกันตลิ่ง ฯ ได้เริ่มต้นดำเนินการแล้วทั้งหมด และมีความก้าวหน้าโครงการฯ รวมประมาณร้อยละ 62   สามารถระบายน้ำหลากได้ทันในปี พ.ศ. 2571 ที่จะถึงนี้”

            เมื่อโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทรแล้วเสร็จ จะช่วยลดระดับความลึกของน้ำที่เคยท่วมตัวเมืองพระนครศรีอยุธยาและพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างได้ประมาณ1.9 – 2.5 ล้านไร่ต่อปี เพิ่มศักยภาพในการใช้ประโยชน์พื้นที่ด้านเกษตรกรรมประมาณ 220,000 ไร่ ประชาชนมีน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภคจำนวน 15 ล้าน ลบ.ม. ครอบคลุมพื้นที่ 48 ตำบล 3 เทศบาล 362 หมู่บ้าน อีกทั้งถนนบนคันคลองยังจะเป็นเส้นทางคมนาคมสายใหม่เชื่อมระหว่าง อ.พระนครศรีอยุธยา อ.บางบาล และ อ.บางไทร ในขณะที่คลองระบายน้ำหลากฯ ยังสามารถใช้เป็นเส้นทางสัญจรขนส่งทางน้ำเลี่ยงผ่านตัวเมืองพระนครศรีอยุธยา ช่วยประหยัดเวลาและเชื้อเพลิงให้อุตสาหกรรมขนส่ง และที่สำคัญจะเป็นจุด Check In แห่งใหม่ เพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวให้จังหวัดได้อีกด้วย

การเรียนรู้จากสายน้ำ ช่วยให้กรมชลประทานสามารถวางแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้เกิดทางน้ำใหม่คู่ชุมชนริมน้ำ คู่ชีวิตคนอยุธยา เป็นส่วนสนับสนุนก้าวสำคัญเพื่ออนาคตที่มั่นคงด้านน้ำของพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาต่อไป”