ทะเลสาบเทียนฉือแห่ง”เทียนซาน” 

“สวรรค์บนดิน”มณฑลซินเจียง 

ซาน(shān)หมายถึงภูเขา

เทียน(tiān)แปลว่าสูงเฉียดฟ้าในภาษาจีน

เทียนซานจึงหมายถึงภูเขาที่สูงเฉียดฟ้า

.

เทือกเขาเทียนซานสูงตระห่านทอดแนวยาวเหนือ-ใต้

มีความยาวกว่า 1,500 กิโลเมตรในเขตปกครองตนเองซินเจียง

ได้ชื่อว่า”ขุนเขาแห่งจอมยุทธ์”

หนังจีนหลายต่อหลายเรื่องใช้เทือกเขานี้เป็นฉากถ่ายทำ

มังกรหยกก็เป็นหนึ่งในนั้น

มังกรหยกตอน”หุบเขาแห่งจอมยุทธ”

ก็ใช้ทะเลสาบเทือนฉือหรือสระสวรรค์ เป็นฉากถ่ายทำเกือบทั้งเรื่อง

.

เริ่มต้นเรื่องด้วยการฆ่าล้างตระกูลเล็กโดย ลี้มกโช้ว

ไปเจอกับเอี้ยก้วยในวัยเด็ก จนเอี้ยก้วยได้ไปเป็นศิษย์ก๊วยเจ๋งที่เกาะดอกท้อ

แต่โดนกลั่นแกล้งสารพัด

ต่อมาก๊วยเจ๋งก็มาฝากให้เป็นศิษย์สำนักช้วนจินก่า

แต่ก็โดนอาจารย์กับศิษย์ดุด่ารุมกลั่นแกล้งต่าง ๆ นานา จนได้มาพบกับยายซุนและเซียวเล่งนึ่งที่สำนักสุสานโบราณ เอี้ยก้วยกราบเซียวเล้งนึ่งเป็นอาจารย์

ทั้งสองจึงได้ถ่ายทอดวิชาจอมยุทธให้แก่กัน

.

ตื่นเช้าในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวเริ่มด้วยทริปล่องเรือทะเลสาบเทียนฉือหรือสระสวรรค์

ที่ชาวจีนส่วนใหญ่ใฝ่ฝันอยากจะมาสัมผัสสักครั้งในชีวิต

ทะเลสาบเทียนฉือ จึงถูกบรรจุไว้ในโปรแกรมของธกส.ทริปพา”เกษตรกรหัวขบวน”ไปดูงานเกษตรอัจฉริยะ

ณ เขตปกครองตนเองซินเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อปลายเดือนมิถุนายน2568 ที่ผ่านมา

.

ทะเลสายเทียนฉือ มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า

”อุทยานแห่งชาติเทียนซาน-เทียนฉือ(Tianshan Tianchi National Park)”

หรือที่รู้จักในชื่อ “ไข่มุกแห่งเทียนซาน”เป็น 1ใน 15 แห่งของจีน

ขึ้นทะเบียนมรดกโลกทางธรรมชาติจากยูเนสโก(UNESCO)

ทะเลสาบเทียนฉือหรือที่ชาวจีนเรียกว่า”สระสวรรค์”

ตั้งอยู่ห่างจากอุรุมชี เมืองหลวงของมณฑลซินเจียง

ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ราว 120 กม.ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง

.

สภาพอากาศวันนั้นแม้จะร้อนอบอ้าว

แต่ก็มีฝนพรำลงมาเบา ๆ พอได้คลายร้อนบ้าง

พลันที่รถบัสจอดหน้าปากทางเข้าอุทยานฯ

พบว่านักท่องเที่ยว(คนจีน 99.99%)ต่อคิวยาวเยียดล้นออกมานอกประตู

เพื่อซื้อตั๋วเข้าไปสัมผัสความงามของทะเลสาบอันเลื่องชื่อแห่งนี้

โชคดีกรุ๊ปเราไกด์ได้จัดการซื้อตั๋วล่วงหน้าไว้ให้เรียบร้อยแล้ว

ไม่ต้องต่อคิวให้เมื่อยตุ้มทำแค่เดินเข้าไปตามช่องพิเศษสำหรับมีตั๋วแล้ว

มีเพียงจนท.คอยนับจำนวนคนที่เข้าไปให้ตรงกับจำนวนตั๋ว

ราคาตั๋วอยู่ที่ 150 หยวนต่อคน(ราคานี้รวมต่อรถบัสของทางอุทยานฯ

พาขึ้นไปบนยอดเขาที่ตั้งของสระสวรรค์)คิดเป็นเงินไทย 650 บาท

.

จากนั้นก็ไปขึ้นรถบัสของอุทยานฯที่จอดรออยู่ด้านนอก

ระยะทางจากจุดเช็คตั๋วถึงยอดภูประมาณ 10 กิโลเมตร

แต่ต้องใช้เวลาเดินทางนานเกือบชั่วโมง

ด้วยเส้นทาง 2 เลนที่แคบและคดเคี้ยวสูงชัน

จึงทำความเร็วมากไม่ได้ ถ้าบ้านเราเทียบได้ขึ้นดอยอ่างขาง

แม้ใช้เวลาเดินทางนาน แต่ก็ตื่นเต้นเร้าใจตลอดเส้นทาง

เมื่อผ่านกระจกรถเต็มไปด้วยทิวเขาสลับซับซ้อน

ที่สวยสดงดงามดั่งสวรรค์บนดิน

.

“เถงแล่วคับทกท่าน”

เสียงอาหมิงไกด์ประจำทริปพูดผ่านไมโทรโฟน

หลังรถบัสจอดสนิทบริเวณลานจอดรถอุทยานฯบนยอดภู

ที่จอดกันเรียงรายหลายสิบคัน เพราะการขึ้นมาข้างบนนั้นต้องใช้รถบริการรถอุทยานฯเท่านั้น

.

ทันทีที่ก้าวลงจากรถต้องตะลึงกับความงามของทะเลสาบเทียนฉือ

ที่มองลงไปด้านล่างเห็นน้ำทะเลเป็นสีน้ำเงินเข้ม

สะท้อนแสงแดดวิบวับราวกับสวรรค์บนดิน

ยืนอึ้งอยู่พักใหญ่ เพราะไม่เคยเห็นความงดงามอะไรแบบนี้มาก่อน

จากนั้นเดินไปยังจุดชมวิวที่ทางอุทยานฯจัดไว้ให้ถ่ายรูปเห็นวิวทะเลสาบ 360 องศา

แต่กว่าจะถ่ายได้ทำเอาเหนื่อยแทบแย่ต้องแย่งซีนกับนทท.จีนอยู่พักใหญ่

หลังถ่ายรูปจนสาแก่ใจ อาหมิงก็ตะโกนเรียกให้ทุกคนลงไปข้างล่าง

เพื่อลงเรือชมความงามของทะเลสาบเป็นจุดหมายต่อไป

.

ระหว่างทางลงจากยอดภูอยู่ด้านล่างริมทะเลสาบ

สังเกตเห็นนทท.วัยรุ่นตอนปลาย(ผู้สูงวัย)ชาวจีน

นั่งพักริมทางเดินอยู่กันเป็นกลุ่ม ๆ

สังเกตุดูน่าจะเป็นลูกหลานพาปะป๊ามะม๊ามาเที่ยว

เดินรวดเดียวไม่ไหวต้องพักเอาแรงกันก่อน

.

หลังเดินลงไปถึงโป๊ะท่าเรือริมเลสาบ

จนท.ก็ให้เข้าแถวเรียง1 เพื่อเดินลงเรือที่จอดรออยู่แล้ว

สรุปเรือลำนี้มีแต่กรุ๊ปเรากรุ๊ปเดียว แต่มีนทท.จีนโผล่มาแจมด้วย 2-3 คน

ใช้เวลาล่องเรือในทะเลสาบราว 45 นาที

ก่อนกลับขึ้นฝั่งเพื่อให้นทท.กรุ๊ปอื่นลงเรือชมความงามต่อไป

.

ปกติการล่องจากอีกฝั่งไปยังอีกฝั่งเพื่อให้นทท.ขึ้นไปไหว้ศาลเจ้าตั้งอยู่บนยอดเขา

แต่กรุ๊ปเราไม่ขึ้น จอดให้นทท.จีนที่ลงเรือลำเดียวกับเราขึ้นฝั่ง

แล้วกัปตันเรือก็หันหัวเรือกลับเข้าฝั่งที่เดิม

ระหว่างล่องเรือไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์

ได้ยินแต่เสียงน้ำทะเลปะทะกับลำเรือ

เลยถามเจ้าหน้าที่เรือผ่านไกด์ได้รับคำตอบว่า

เป็นเรือพลังงานไฟฟ้าลดมลพิษ เสียงเลยเงียบสนิท

.

เราใช้เวลาราว 2 ชั่วโมงครึ่งท่องธรรมชาติอันสวยงามของทะเลสาบเทียนฉือ

ก่อนโรงแรมที่พักเมืองอุรุมชีแวะทานมื้อกลางวันร้านอาหารอุทยานฯ

เมนูเดิม ๆ ซี่โครงแกะย่าง มันสมั่นแพะ ต้นไก่ดำ

แต่ก็มีต้มซีอิ้วปลาทะเลสาบเป้นเมนูเด็ดมื้อนี้

หลังอิ่มแปล้มื้อกลางวันแล้วจึงมาขึ้นรถกลับอุรมชี

.

ระหว่างทางอาหมิงก็ได้เล่าเกร็ดความรู้เรื่องการจัดการศพชาวจีน

แต่จะพื้นที่แต่ละมณฑลแต่ละชนเผ่ามีความเชื่อที่แตกต่างกันไป

อย่างศพชาวฮั่นหรือชาวจีนส่วนใหญ่ในอดีตใช้วิธีการฝัง หลังเสร็จพิธีกรรม

แต่ปัจจุบันไม่มีฝังแล้วจะใช้วิธีการเผาแทน เหตุพื้นที่มีจำกัด

ดังนั้นในทุกอำเภอของแต่ละมณฑลจะต้องมีโรงงานเผาศพ 1 แห่ง

หรือ 1 โรงเผาศพต่อ 1 อำเภอ หลังเสร็จพิธีกรรมก็นำไปเผาทันที

.

แต่ถ้าเป็นชนเผ่าอื่นในเขตปกครองคตนเองธิเบตหรือมองโกเลียใน

จะไม่มีการเผา แต่จะนำศพคนตายไปทิ้งไว้กลางทุ่งโล่งให้อีแร้งอีกามารุมทึ้ง

หรือบางชนเผ่าก็นำร่างศพผูกไว้กับท้ายจักรยานแล้วปั่นไปเรื่อย ๆ

ศพร่วงหล่นตรงไหนก็ปล่อยให้อยู่ตรงนั้น

โดยคนปั่น(ลูกหลาน)จะต้องไม่หันกลับไปมอง

เหตุที่มีการจัดการศพแบบนี้ พวกเขาเชื่อว่าวิญญาณคนตายจะได้ขึ้นสวรรค์

โดยอีแร้งอีกาคือทูตจากสวรรค์ที่จะนำวิญญาณผู้ตายกลับไปด้วย

.

ฟังเรื่องเล่าจากอาหมิง ไกด์ประจำทริปแล้ว อดนึกถึงศพทหารเขมรไม่ได้

ที่พ่อลูกตระกุลฮุนไม่ยอมสั่งให้เก็บศพกลับไปปล่อยให้อีแร้งอีการุมทึ้ง

.