พลิกเกมป่ารอยต่อ! ARDA ดันนวัตกรรมแปรรูปสมุนไพรสร้างเศรษฐกิจสีเขียว-สกัดช้างป่ารุกเมือง–สร้างรายได้ยั่งยืน
ปัญหาช้างป่าออกนอกพื้นที่อนุรักษ์รุกล้ำเข้าชุมชนและพื้นที่เกษตรกรรมเป็นวิกฤติที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะบริเวณ “ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออก” ข้อมูลจาก Green News ระบุว่าในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา เกิดเหตุทำให้ประชาชนบาดเจ็บ 116 ราย และเสียชีวิต 135 ราย สร้างความเสียหายต่อชุมชนและพื้นที่เกษตรปีละหลายร้อยล้านบาท วิกฤติที่เกิดขึ้นนี้ไม่เพียงกระทบ “ชีวิตคน” แต่ยังลุกลามถึง “วิถีชีวิต” ของชุมชน ทั้งผลผลิตที่ถูกทำลาย รายได้ที่ลดลง และความหวาดกลัวในการออกทำการเกษตรของชาวบ้านในพื้นที่
“ช้างเป็นสัตว์ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ร.9) ทรงรักทรงห่วงใย โดยเฉพาะช้างทางกุยบุรีและแก่งกระจานทรงห่วงใยมาตลอด ทรงช่วยหาที่อยู่ที่กินให้ช้าง จะได้ไม่รบกวนคนกับช้าง จะได้มีปัญหากันน้อยที่สุดเช่น ที่กุยบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ช้างมีความสำคัญมาแต่ครั้งประวัติศาสตร์ เคยช่วยรักษาบ้านเมืองกู้บ้านกู้เมือง ดังนั้น ขอให้ช่วยกันดูแลมิให้ช้างถูกฆ่าอย่างทารุณเยี่ยงนี้ เพื่อจะได้ไม่ผิดพระราชประสงค์ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะให้มีการอนุรักษ์ช้างให้เป็นสัตว์คู่แผ่นดินสืบไป”
พระราชเสาวนีย์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง 5 มกราคม 2555
นายทวีศักดิ์ ธนเดโชพล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร กล่าวว่า สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ ARDA ได้สนับสนุนทุนวิจัยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดำเนินโครงการ “การเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ของหมู่บ้านคชานุรักษ์ในพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออก” โดยมี รศ.ดร.อรพรรณ คงมาลัย เป็นหัวหน้าโครงการวิจัย เพื่อยกระดับการผลิตสมุนไพรของชุมชนจากระดับใช้ในท้องถิ่นสู่มาตรฐานเชิงพาณิชย์ โครงการนี้เป็นการต่อยอดจาก “โครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์” ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี โดยมีเป้าหมายพัฒนาต้นแบบชุมชนที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติ
อย่างยั่งยืน สามารถพึ่งพาตนเองได้และลดความสูญเสียจากช้างป่า โดยโครงการได้ส่งเสริมองค์ความรู้ด้านการปลูกพืชสมุนไพรเพื่อสร้างรายได้เสริม ทั้งในรูปแบบผลผลิตสดและผลิตภัณฑ์แปรรูป เนื่องจากที่ผ่านมาชุมชนมีการปลูกสมุนไพรแต่ยังขาดองค์ความรู้ในการนำเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมสมัยใหม่มาแปรรูปผลิตภัณฑ์ให้มีมาตรฐาน ทางชุมชนจึงทำได้เพียงปลูกใช้และจำหน่ายในชุมชนเท่านั้น ปัจจุบันโครงการนี้ได้ดำเนินโครงการมา 1 ปีในพื้นที่นำร่อง 3 จังหวัด ได้แก่ บ้านคลองเตย จังหวัดฉะเชิงเทรา บ้านเขาใหญ่ จังหวัดชลบุรี และบ้านคลองตาอิน จังหวัดจันทบุรี สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรกว่า 300 ครัวเรือนรวมกว่า 1 ล้านบาท และในอนาคตมีแผนขยายผลการดำเนินงานเพิ่มเติมขึ้นอีก 10 จังหวัด
รศ.ดร.อรพรรณ คงมาลัย หัวหน้าโครงการวิจัยฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางโครงการได้นำองค์ความรู้เชิงลึก
ด้านสมุนไพรตั้งแต่การเตรียมดิน การดูแล รวมถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิต มาถ่ายทอดสู่ชุมชนอย่างเป็นระบบ เพื่อยกระดับคุณภาพผลผลิตและสร้าง “แนวกันชนชีวภาพ” ที่ช่วยลดความเสียหายจากช้างป่าในพื้นที่เกษตรได้จริงและมีประสิทธิผล
พร้อมกันนี้ ทีมวิจัยยังได้พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการแปรรูปสมุนไพรให้เกิดมูลค่าสูงขึ้น อาทิ สเปรย์ตะไคร้หอมไล่ยุง น้ำมันสมุนไพรไพลคลายเส้น สเปรย์น้ำมันกระดูกไก่ดำ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่ช่วยให้ชุมชนขายผลผลิตได้ราคาสูงขึ้นและขายได้ตลอดปี โดยไม่ต้องพึ่งพาการขายผลผลิตสดเพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ยังได้บูรณาการความร่วมมือกับสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) พัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำชุมชนและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำได้อย่างยั่งยืน อาทิ การติดตั้งระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ การประยุกต์ใช้ระบบ IoT สำหรับกระจายน้ำในพื้นที่เพาะปลูกสมุนไพร และการใช้ฐานข้อมูลเพื่อติดตามผลผลิตอย่างเป็นระบบ
นายสมร มุทุจิตต์ ผู้ใหญ่บ้านและคณะกรรมการป่าชุมชน จังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวว่า ตนทำการเกษตรกว่า 35 ไร่ ปลูกพืชไร่มากว่า 13 ปี โดยพบช้างป่าเข้าทำลายผลผลิตครั้งแรกปี 2549 และรุนแรงขึ้นในปี 2552 จนชุมชนเสียหายหนัก แม้ทุกคนรักป่าและไม่อยากทำร้ายช้าง แต่ก็ต้องมีรายได้เลี้ยงครอบครัว จึงรวมกลุ่มตั้งวิสาหกิจชุมชนปลูกสมุนไพรที่ช้างไม่กิน เพื่อสร้างรายได้ใหม่และลดความขัดแย้งกับช้างป่า อย่างไรก็ตาม ชุมชนยังขาดความรู้ด้านการปลูกสมุนไพรให้ได้มาตรฐาน กระทั่งเข้าร่วมโครงการฯ มีทีมนักวิจัยจึงลงพื้นที่ถ่ายทอดความรู้ ทั้งการผลิตตามมาตรฐาน GAP การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ของชุมชน พร้อมช่วยเปิดช่องทางตลาดผ่าน OTOP งานจังหวัด และแพลตฟอร์มออนไลน์ ส่งผลให้รายได้ชุมชนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในเวลาไม่นาน
“อย่างแรกเลย ผมต้องขอบคุณ ARDA และทีมนักวิจัยทุกท่านมาก ๆ ทุกวันนี้พวกผม ไม่ต้องกลัวออกไร่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะเมื่อมีความรู้ดี ก็มีทางทำมาหากินที่มั่นคงขึ้น ตอนนี้ทางกลุ่มฯ เริ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์ออกจำหน่าย
ในท้องตลาดบ้างแล้ว จากตะไคร้ขาย 3 บาท/กก. วันนี้แปรรูปเป็นน้ำมันได้ 1,800–2,000 บาท/ลิตร หรือ ขมิ้นสด ราคา 15−20 บาท/กก. แปรรูปอบแห้งขายได้ได้ 90−95 บาท/กก. เห็นได้ชัดเลยว่าความรู้ที่ได้รับสามารถนำไปใช้ได้จริง
และช่วยยกระดับรายได้ของชุมชน พวกเราจึงตั้งใจว่าจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้นต่อไป เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ในระยะยาวครับ”
โครงการนี้ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาช้างป่า หากแต่เป็น ต้นแบบของการใช้งานวิจัยสร้างสมดุลระหว่างคน–ช้าง–ป่า ผ่านนวัตกรรมที่นำไปใช้ได้จริงในชุมชน สะท้อนชัดว่า “งานวิจัย” สามารถเปลี่ยนความขัดแย้งให้กลายเป็นโอกาส
ทางเศรษฐกิจและการอนุรักษ์ได้ในเวลาเดียวกัน และนี่คือบทบาทของ ARDA ในการผลักดัน เศรษฐกิจสีเขียว ที่เติบโต
บนฐานของความรู้และความยั่งยืนเพื่อให้ช้างอยู่ได้ คนอยู่รอด และผืนป่าไทยคงอยู่ต่อไปอย่างมั่นคง
