สศก. เผย ผลประชุม COP30 ชี้ “ภาคเกษตร” วาระสำคัญของการขับเคลื่อน

นางสาวกาญจนา ขวัญเมือง รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยผลการหารือที่สำคัญยิ่งจากการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 30 (COP30) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10 – 21 พฤศจิกายน 2568 ณ เมืองเบเลง สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร               และกรมวิชาการเกษตร เป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมระดับโลกดังกล่าว

หัวใจสำคัญของการประชุม COP30 คือ การกำหนดท่าทีและแนวทางร่วมกันของนานาประเทศเพื่อผลักดันการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีการเน้นย้ำให้ความสำคัญกับ “ภาคเกษตร” ซึ่งถือเป็นทั้งแหล่งผลิตอาหารที่จำเป็นต่อโลกและเป็นฐานเศรษฐกิจหลักของประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงประเทศไทยด้วย ประเด็นหารือหลักด้านการเกษตรจึงมุ่งเน้นการขับเคลื่อนงานด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความมั่นคงทางอาหารเป็นสำคัญ

ที่ประชุมได้ตอกย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินงานเพื่อเพิ่มความสามารถในการรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ประสบความเปราะบางสูง  โดยต้องดำเนินการผ่านแนวทางที่เป็นระบบและองค์รวม เสริมสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และบูรณาการมาตรการด้านสภาพภูมิอากาศเข้ากับแผนยุทธศาสตร์และนโยบายระดับชาติอย่างเข้มข้น ครอบคลุมทั้งมิติของการปรับตัว การเปลี่ยนผ่านภาคเกษตรสู่ความยั่งยืน การพัฒนาระบบอาหาร และการคุ้มครองกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรรายย่อย ผู้หญิง และเยาวชน

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีข้อสรุปที่สำคัญว่า ประเทศพัฒนาแล้วควรเพิ่มการสนับสนุนทางการเงิน              ในลักษณะเงินให้เปล่า (Grant) ที่เข้าถึงได้อย่างสะดวกและง่ายดาย เพื่อนำไปใช้ในการปรับตัว การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการเสริมสร้างศักยภาพให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ทันท่วงที

ในส่วนของการสร้างเครื่องมือกลาง ที่ประชุมได้ผลักดันการพัฒนา “Sharm el-Sheikh Online Portal”  ซึ่งจะเป็นระบบกลางสำหรับรวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลสำคัญด้านนโยบาย มาตรการ และโครงการด้านเกษตรและความมั่นคงอาหาร เมื่อระบบนี้ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มรูปแบบ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประสานงานระหว่างประเทศ สร้างช่องทางการจับคู่การสนับสนุนด้านเงินทุนและเทคโนโลยีอย่างชัดเจน และนำไปสู่การเสริมสร้างขีดความสามารถในการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาว

สำหรับประเทศไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องตามแผนปฏิบัติการที่วางไว้ นั่นคือ “แผนปฏิบัติการด้านการเกษตรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2566–2570”                  และ “แผนปฏิบัติการด้านการจัดการด้านอาหารของประเทศไทย ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2566 – 2570) ยุทธศาสตร์ ด้านความมั่นคงอาหาร” เพื่อให้ภาคเกษตรสามารถปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมกันนี้ยังส่งเสริมระบบการผลิตที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ และสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคเกษตรภายใต้เป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contribution: NDC)

ตัวอย่างกิจกรรมที่ประเทศไทยดำเนินการอย่างจริงจัง ได้แก่ การปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง การจัดการ ของเสียในภาคปศุสัตว์ การลดการใช้ปุ๋ยเคมี และมาตรการปรับตัวอื่น ๆ เพื่อมุ่งหวังให้ภาคเกษตรของประเทศเป็นฐานความมั่นคงทางอาหารที่แข็งแกร่ง และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว