น้ำท่วมปีนี้จะเป็นอีกแรงผลักดันแผนงานบรรเทาอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างให้เป็นจริง

ประเทศไทยเคยเผชิญกับมหาอุทกภัยครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติการณ์ เมื่อปี 2554 โดยเหตุการณ์เริ่มตั้งแต่ต้นปีและยืดเยื้อจนถึงปลายปี พื้นที่ประสบภัยกระจายตัวอยู่ในทุกภูมิภาคของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาที่เป็นอู่ข้าวอู่น้ำและพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาล ทั้งต่อทางภาคการเกษตร อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม การท่องเที่ยวและสังคม อีกทั้งยังส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังภาคส่วนอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก
มหาอุทกภัยในปี 2554 มีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบทั้งสิ้น 74 จังหวัด รวม  844  อำเภอ   5,919  ตำบล และ 53,380 หมู่บ้าน มีประชาชนได้รับความเดือดร้อนมากกว่า 16 ล้านคน  มีพื้นทีี่ที่ถูกน้ำท่วมประมาณ 31.45 ล้านไร่  ในครั้งนั้นธนาคารโลก (World Bank) ได้ประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจมีมูลค่าสูงถึง 1.44 ล้านล้านบาท
ในปีนี้ พ.ศ.2568 เกิดอุทกภัยเช่นกัน  มีพื้นที่ประสบอุทกภัยรวมท้ังส้ิน 65 จังหวัด ณ วันทีี่ 23 พฤศจิกายน 2568เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว 44 จังหวัด ฝนเริ่มตกหนักในพื้นที่ภาคใต้ เหลือจังหวัดที่ประสบอุทกภัยอยู่  21 จังหวัด  ได้แก่ จังหวัดกําแพงเพชร เพชรบุรี นครราชสีมา สระบุรี ชัยนาท สุโขทัย สุพรรณบุรี สิงห์บุรี อุทัยธานี นครปฐม พิษณุโลก อ่างทอง นครสวรรค์ พิจิตร และพระนครศรีอยุธยา
สถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้ ประชาชนบางพื้นที่บอกว่า รุนแรงกว่าปี 2554  แต่ถ้าหากมองในภาพรวมแล้ว ความรุนแรงเทียบกับมหาอุทกภัยปี 2554 ไม่ได้เลย ในปี 2554  เป็นปีที่ฝนมาเร็วและปริมาณฝนมากกว่าปกติค่อนข้างมาก มีพายุที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยจำนวน 5 ลูก คือ พายุไห่หม่า ในเดือนมิถุนายน  พายุนกเตน ในเดือนกรกฎาคม  พายุไห่ถาง  พายุเนสาด  และพายุนาแก ในเดือนกันยายน  ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่ 1,826 มิลลิเมตร สูงกว่าค่าปกติ 25%  มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมขังสูง 9.5 ล้านไร่ 
ส่วนในปี 2568  แม้ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากพายุมากที่สุดถึง 7 ลูก คือ พายุวิภา ในเดือนกรกฎาคม  พายุคาจิกิ ในเดือนสิงหาคม  พายุหนองฟ้า ในเดือนสิงหาคมต่อเนื่องถึงเดือนกันยายน  พายุรากาซา พายุบัวลอย ในเดือนกันยายน  พายุแมตโม ในเดือนตุลาคม  และล่าสุดพายุคัลแมกีในเดือนพฤศจิกายนก็ตาม แต่ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยทั่วประ เทศจนถึงเดือนตุลาคม 2568อยู่ที่ 1,427 มิลลิเมตร สูงกว่าค่าเฉลี่ย 7%  มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมขัง 1.3ล้านไร่ น้อยกว่าปี 2554  และในปีนี้พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจะอยู่เฉพาะในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างเท่านั้น
อย่างไรก็ตามได้เกิดคำถามว่า ตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปัจจุบัน ผ่านไปแล้ว14 ปี รัฐบาลได้ทำโครงการอะไรบ้างในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมโดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาอย่างยั่งยืน
ดร.ธเนศร์ สมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา   กรมชลประทาน  กล่าวว่า ภายหลังจากเกิดมหาอุทกภัยใหญ่เมื่อปี 2554 กรมชลประทานที่ได้นำเหตุการณ์ดังกล่าวมาใช้เป็นโจทย์ในศึกษา โครงการบรรเทาอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง พบว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดมหาอุทกภัยมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน ประกอบด้วย สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง สภาวะโลกร้อนขึ้นทำให้พื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยามีฝนมากขึ้น  รวมทั้งยังทำให้น้ำทะเลหนุนสูง ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการระบายน้ำ  ปัญหาสภาพภูมิประเทศที่แม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีลำน้ำแคบแค่  83  เมตรในขณะที่อื่นๆมีความกว้างถึง 200 เมตร จึงทำให้น้ำล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ต่างๆของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเมื่อมีน้ำเหนือไหลหลากลงมา ประกอบการทับถมของตะกอนในแม่น้ำเจ้าพระยาทำให้ประสิทธิภาพการระบายน้ำต่ำ 
นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน มีการก่อสร้างอาคาร บ้านเรือน และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ทำให้พื้นที่รับน้ำหายไป ตลอดจนมีชุมชนต่างๆเกิดขึ้นตามแม่น้ำ ลำคลองมากมาย  การระบายน้ำไม่สามารถทำให้อย่างเต็มประสิทธิ ภาพ  การบริหารจัดการน้ำมีความยุ่งยากมากขึ้น  หากการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยาหากเกิน 1,800 ลบ.ม./วินาที ก็จะส่งผลกระทบทันที  ซึ่งในปี 2554 มีการระบายจากเขื่อนเจ้าพระยาสูงสุดถึง 3,700 ลบ.ม./วินาที  และในปีนี้มีการระบายสูงสุด 2,900 ลบ.ม./วินาที  เกินขีดความสามารถของแม่น้ำเจ้าพระยาที่จะรับได้ ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างจึงเกิดขึ้น  ดังนั้นหากจะไม่ให้เหตุการณ์มหาอุทกภัยเกิดขึ้นอีก จำเป็นจะต้องหาแนวทางในการบริหารจัดการน้ำจำนวนดังกล่าว เพื่อระบายออกสู่ทะเลให้เร็วที่สุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด 
“การศึกษาในครั้งนั้นได้ผลสรุปว่า หากต้องการเพิ่มศักยภาพในการระบายน้ำเหนือออกสู่ทะเล ลดความสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจอันเกิดจากอุทกภัย และเพิ่มความมั่นคงในเรื่องน้ำเพื่อการเกษตร การอุปโภค-บริโภคในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง จะต้องดำเนินโครงการบรรเทาอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง  9 แผนงาน ”  ดร.ธเนศร์กล่าว
อย่างไรก็ตามต่อมาสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.)ได้นำใน  9 แผนงานดังกล่าวไปศึกษาปรับปรุงให้สอดคล้องสถานการณ์ปัจจุบันและแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20ปี(ปรับปรุงช่วงที่1พ.ศ.2566-2580)  
  ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กล่าวว่า  ทั้ง 9 แผนงานของโครงการบรรเทาอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างดังกล่าวนั้น  มีแผนงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมชลประทานโดยตรงจำนวน 6 แผนงาน ซึ่งจะออกเป็น 3พื้นที่ด้วยกันประกอบด้วย
พื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ประกอบด้วย 3 แผนงาน คือ  1. แผนการสร้างคลองระบายน้ำควบคู่กับคลองส่งน้ำชัยนาท-ป่าสัก ซึ่งจะสามารถระบายน้ำในช่วงน้ำหลากได้ถึง  900  ลบ.ม./วินาที ใช้งบในการก่อสร้างประ มาณ 35,000 ล้านบาท  ขณะนี้อยู่ระหว่างการเสนอผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม   2. แผนการปรับปรุงโครงสร้างระบบชล ประทานเดิมที่มีอยู่ ที่ระบายน้ำผ่านทางคลองระพีพัฒน์และคลองสาขาต่างๆ โดยจะมีการปรับปรุงคลองชลประทานทั้งหมด  26  แห่ง รวมความยาว 490 กิโลเมตร   พร้อมทั้งก่อสร้างและปรับปรุงอาคารบังคับน้ำ 14 แห่ง  ปรับปรุงสถานีสูบน้ำ 2  แห่ง ใช้งบประมาณการก่อสร้างรวมประมาณ 64,000  ล้านบาท   คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จทั้งหมดในปี 2572  จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในพื้นที่ได้จากเดิม  210 ลบ.ม./วินาที เพิ่มเป็น 400 ลบ.ม./วินาที ช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บกักน้ำในคลองช่วงฤดูแล้งได้ 18 ล้านลบ.ม./ปี และที่สำคัญสามารถบรรเทาอุทกภัย ลดมูลค่าความเสียหายรวมจากอุทกภัยเฉลี่ยถึงปีละ 5,085 ล้านบาท  และ3.แผนการก่อสร้างคลองระบายน้ำสายใหม่ จากแม่น้ำป่าสักลงสู่ทะเลโดยตรง สามารถระบายน้ำได้สูงสุดประมาณ  600  ลบ.ม./วินาที ขณะนี้อยู่ระหว่างการเสนอผลกระทบด้านสิ่งแวด ล้อม
พื้นที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ประกอบด้วย  2  แผนงาน  คือ  1. แผนการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของแม่น้ำท่าจีน  ซึ่งเป็นงานที่กรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันดำเนินงาน ประกอบด้วยการขุดคลองระบายน้ำหลาก แม่น้ำท่าจีนบริเวณ อ.โพธิ์พระยา จ.สุพรรณบุรี ขุดช่องลัดแม่น้ำท่าจีนที่มีลักษณะเป็นกระเพาะหมูจำนวน 4 แห่ง และขุดลอกแม่น้ำท่าจีนตั้งแต่ กิโลเมตรที่ 40 จากปากแม่น้ำขึ้นมา ซึ่งจะสามารถเพิ่มการระบายได้จาก 464 ลบ.ม./วินาที เป็น 535 ลบ.ม./วินาที  และ2.แผนการปรับปรุงโครงสร้างระบบนำน้ำของโครงการชลประทานเดิมที่มีอยู่ เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำตั้งแต่คลองเจ้าเจ็ดมายังคลองพระยาบันลือ ต่อไปยังคลองพระพิมล คลองมหาสวัสดิ์ คลองภาษีเจริญ คลองสนามชัย-มหาชัย และออกสู่ทะเลอ่าวไทย ซึ่งจะสามารถระบายน้ำได้เพิ่มขึ้นจาก 50 ลบ.ม./วินาทีในปัจจุบันเป็น 130 ลบ.ม./วินาที  ขณะนี้ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.)ให้กรมชลประทานดำเนินการแล้ว
พื้นที่ในส่วนของแม่น้ำเจ้าพระยา มีแผนงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมชลประทาน 1 แผนงาน  คือ  แผนการขุดคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร  ดำเนินการโดยกรมชลประทาน ซึ่งประกอบด้วยงานสำคัญๆ ได้แก่  งานก่อสร้างประตูระบายซึ่งมีทั้งหมด 4 แห่งคือ ประตูระบายน้ำปากคลองบางบาล   ประตูระบายน้ำปากคลองบางหลวง  ประตูระบายน้ำปากคลองน้ำหลาก และประตูระบายน้ำปลายคลองน้ำหลากพร้อมบันไดปลาและประตูเรือสัญจร   เพื่อควบคุมการระบายน้ำ  งานขุดคลองระบายน้ำสายใหม่ ความยาว 22.50 กิโลเมตรพร้อมถนน งานก่อสร้างอาคารประกอบคลองระบายน้ำหลาก  งานก่อสร้างสะพานรถยนต์ข้ามคลอง และงานก่อสร้างคันกั้นน้ำโดยรอบพื้นที่โครงการ ขณะนี้ในภาพรวมมีความคืบหน้า 62%   คาดว่าจะเสร็จในปี 2571  เมื่อแล้วเสร็จจะสามารถระบายน้ำได้เพิ่มขึ้นอีก 1,200 ลบ.ม./วินาที เพิ่มศักยภาพในการใช้ประโยชน์พื้นที่ด้านเกษตรกรรมประมาณ 220,000 ไร่ ประชาชนมีน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภคจำนวน 15 ล้านลบ.ม.
สำหรับอีก 3 แผนงาน แม้จะเป็นการดำเนินงานพื้นที่ในส่วนของแม่น้ำเจ้าพระยาเช่นกัน แต่ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของกรมชลประทานโดยตรง ประกอบด้วย 1.แผนการสร้างคลองระบายน้ำควบคู่กับถนนวงแหวนรอบ 3 ฝั่งตะวันออก  2.แผนการขุดลอกลำน้ำเจ้าพระยา   และ3.แผนการสร้างทำนบ ในพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกันน้ำ
สถานการณ์น้ำท่วมลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างในปี 2568 นี้ น่าจะเป็นอีกแรงที่จะช่วยขับเคลื่อนการดำเนินงานตาม 9 แผนงานโครงการบรรเทาอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างดังกล่าวให้แล้วเสร็จตามเป้าหมาย  ซึ่งไม่ใช่แค่จะแก้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างได้อย่างยั่งยืนและประสิทธิภาพ  ลดความสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังจะเพิ่มความมั่นคงในเรื่องน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค  การเกษตร และอุตสาหรรมในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างอีกด้วย