ผ่าแผนการบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้งปี 2568/69

ประเทศไทยเริ่มเข้่าสู่การบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้งประจำปี 2568/69 มาตั้งแต่วันที่ 1 พฤศิกายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งในปีนี้กรมชลประทานได้วางแผนบริหารจัดการน้ำแบบยั่งยืนตามนโยบายของรัฐบาล โดยจัดสรรน้ำให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุนของอ่างเก็บน้ำ เพื่อสนับสนุนการใช้น้ำในทุกกิจกรรมในพื้นที่ต่างๆ ตามลำดับความสำคัญ โดยลำดับแรกเป็นการจัดสรรเพื่อการอุปโภค บริโภค และการประปา รองลงมาเป็นการจัดสรรเพื่อการรักษาระบบนิเวศทางน้ำ เช่น การผลักดันน้ำเค็ม การขับไล่น้ำเสีย บรรเทาสาธารณภัย จารีตประเพณี และคมนาคม เป็นต้น อันดับถัดมาเป็นการสำรองน้ำไว้สำหรับการใช้น้ำในช่วงต้นฤดูฝนซึ่งจะนำไปใช้สำหรับการอุปโภค บริโภค และรักษาระบบนิเวศในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2569 จากนั้นถึงจะเป็นการจัดสรรเพื่อการเกษตร การอุตสาหกรรม พาณิชยกรรมและการท่องเที่ยว ตามลำดับ

สำหรับปริมาณน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศปีนี้ ณ วันที่ 1 พฤศิกายน 2568 มีปริมาณรวมกันถึง 67,568 ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) คิดเป็น 88% ของปริมาณการกักเก็บมากกว่าปีที่แล้ว 4,194 ล้าน ลบ.ม. โดยส่วนของลุ่มน้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ “อู่ข่้าวอู่น้ำ” ของประเทศมีปริมาณน้ำต้นทุนจาก 4 เขื่อนหลักคือ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณรวมกัน 23,941 ล้านลบ.ม. คิดเป็น 96% ของปริมาณการกักเก็บ มากกว่าปีที่ผ่านมาถึง 2,253 ล้านลบ.ม.

ดร.ธเนศร์ สมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กรมชลประทาน กล่าวว่า ในปีนี้แม้จะเข้าสู่ช่วงการบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้งประจำปี 2568/69 แล้วก็ตามแต่ก็ยังมี แต่ยังก็มีพายุโซนร้อนเกิดขึ้น คือ
พายุ “คัลแมกี” (Kalmaegi) ซึ่่งได้อ่อนกำลังลงเป็นดีเปรสชันและหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงตามลำดับ โดยได้เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย ที่บริเวณอำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 จากนั้นได้เคลื่อนผ่านภาคกลางตอนบน และภาคเหนือ ส่งผลให้ในช่วงวันที่8-9 พฤศจิกายน 2568 ประเทศไทยบริเวณด้านตะวันตกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางตอนบน และภาคเหนือ มีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณน้ำในเขื่อนหลายแห่งเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเขื่อนที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุนของลุ่มน้ำเจ้าพระยา

ล่าสุด ณ วันที่ 20 พฤศิกายน 2568 อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณรวมกันเพิ่มขึ้นเป็น69,517 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 91% ของปริมาณการกักเก็บมากกว่าปีที่แล้ว 5,932 ล้าน ลบ.ม. โดยส่วนของลุ่มน้ำเจ้าพระยามีปริมาณน้ำต้นทุนจาก 4 เขื่อนหลักเพิ่มขึ้นรวมกันเป็น 24,581 ล้านลบ.ม. คิดเป็น 99% ของปริมาณการกักเก็บ มากกว่าปีที่ผ่านมาถึง 2,550 ล้านลบ.ม.

สำหรับแผนการจัดสรรน้ำและการปลูกพืชฤดูแล้งปี 2568/69 ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 นั้นได้วางแผนจัดสรรน้ำจากปริมาณน้ำต้นทุนจากอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และแหล่งน้ำอื่นๆ ทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 47,516 ล้านลบ.ม. ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยในส่วนนี้จะสำรองน้ำไว้ใช้ในช่วงต้นฤดูฝนปี 2569 จำนวน 17,953 ล้าน ลบ.ม. ดังนั้นจะมีปริมาณน้ำต้นทุนเพื่อจัดสรรใช้ในกิจกรรมต่างๆในช่วงฤดูแล้งปี 2568/69 จำนวน 29,563 ล้าน ลบ.ม. โดยวางแผนจัดสรรเพื่อการอุปโภคบริโภค 2,748 ล้านลบ.ม. คิดเป็น 9% ของปริมาณน้ำต้นทุน เพื่อรักษาระบบนิเวศ 8,090 ล้าน ลบ.ม. คิด 27% ของปริมาณน้ำต้นทุน เพื่อเกษตรกรรม 18,247 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 62%ของปริมาณน้ำต้นทุน ที่เหลือจะจัดสรรเพื่ออุตสาหกรรมและอื่นๆจำนวน 478 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 2% ของปริมาณน้ำต้นทุน
ในส่วนของลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีปริมาณน้ำต้นทุนจาก 4 เขื่อนหลักที่ใช้การได้ในการจัดสรรช่วงฤดูแล้งปี 2568/69 จำนวน 17,745 ล้านลบ.ม.(รวมปริมาณน้ำที่จะผันมาจากลุ่มน้ำแม่กลอง500 ล้านลบ.ม.) และคาดการณ์ว่าจะมีปริมาณน้ำไหลเข้ามาอีก 2,045 ล้านลบ.ม. โดยจะสำรองไว้ใช้ในช่วงต้นฤดูฝนปี 2569 จำนวน 6,100ล้านลบ.ม. และใช้ในการระบายน้ำ 4,190 ล้านลบ.ม. เหลือปริมาณน้ำจัดสรรเพื่อใช้ในกิจกรรมต่างๆจำนวน 9,500 ล้าน ลบ.ม. โดยวางแผนจัดสรรเพื่อการอุปโภคบริโภค 1,150 ล้านลบ.ม. คิดเป็น 13% ของปริมาณน้ำต้นทุน เพื่อรักษาระบบนิเวศ 1,305ล้าน ลบ.ม. คิด 14% ของปริมาณน้ำต้นทุน เพื่อเกษตรกรรม 6,910 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 71%ของปริมาณน้ำต้นทุน ที่เหลือจะจัดสรรเพื่ออุตสาหกรรมและอื่นๆจำนวน 135ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 2% ของปริมาณน้ำต้นทุน
สำหรับการปลูกพืชฤดูแล้งในเขตชลประทาน ได้กำหนดเป้าหมายสอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุน ในปีนี้กำหนดเป้าหมายทั่วประเทศไว้ที่ 10.73 ล้านไร่ แบ่งเป็นข้าวนาปรัง 10.05 ล้านไร่ และพืชไร่-พืชผัก 670,000 ไร่ เฉพาะพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาซึ่งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศนั้นกำหนดเป้าหมายไว้ที่ 6.35 ล้านไร่ แบ่งเป็นข้าวนาปรัง 6.27 ล้านไร่ และพืชไร่-พืชผัก 8,000ไร่ ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 มีการปลูกพืชฤดูแล้งทั่วประเทศไปแล้ว 1.19ล้านไร่ คิดเป็น 11% ของแผน แบ่งเป็นข้าวนาปรัง1.13ล้านไร่ คิดเป็น 11% ของแผน และพืชไร่-พืชผัก 62,000 ไร่ คิดเป็น 9%ของแผน ส่วนลุ่มเจ้าพระยา ปลูกพืชฤดูแล้งไปแล้ว 800,000ไร่ คิดเป็น 13% ของแผน แบ่งเป็นข้าวนาปรัง 76,000 ไร่คิดเป็น 12% ของแผน และพืชไร่-พืชผัก 3,800 ไร่ คิดเป็น 50 %ของแผน
ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กรมชลประทาน ยังกล่าวถึงสถานการณ์น้ำในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ ครอบคลุมพิื้นที่ 3 จังหวัดคือ ฉะเชิงเทรา จังหวัดชลบุรี และจังหวัดระยอง ว่า ปริมาณในอ่างเก็บน้ำทั้งขนาดใหญ่ 4แห่่ง และขนาดกลาง 12 แห่ง มีปริมาณน้ำ ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 จำนวน 1,177 ล้านลบ.ม. คิดเป็น 90.75% ของปริมาณการกักเก็บ ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี เพียงพอที่จะใช้ในช่วงฤดูแล้งทั้งการผลิตน้ำประปา รักษาระบบนิเวศน์ การเกษตรและภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำประแสร์ จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำที่เป็นศูนย์กลางในการกระจายน้ำ ขณะนี้มีปริมาณน้ำเต็มความจุ 100% คือ 294 ล้านลบ.ม. เช่นเดียวกับอ่างกับน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี มีปริมาณน้ำถึง 116 ล้านลบ.ม. คิดเป็น 99% ของปริมาณการกักเก็บ
นอกจากนี้พื้นที่ EEC ยังมีโครงข่ายน้ำเชื่อมโยงกัน ไม่ว่าจะเป็นการสูบผันน้ำจากคลองพระองค์ไชยานุชิต-อ่างเก็บน้ำบางพระ การสูบผันน้ำจากแม่น้ำบางปะกง-อ่างเก็บน้ำบางพระ การสูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์-อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล การสูบน้ำจากสถานีสูบน้ำคลองสะพาน-อ่างเก็บน้ำประแสร์ การสูบผันน้ำจากคลองวังโตนด-อ่างเก็บน้ำประแสร์ และการสูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์-อ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ ซึ่งจะสร้างความมั่นคงเรื่องน้ำให้กับพื้นที่ EEC ในฤดูแล้งปี 2568/69 และช่วงต้นฤดูฝน 2569 ปริมาณน้ำในพื้นที่ EEC จะเพียงพอกับความต้องการทุกภาคส่วนอย่างแน่นอน
“กรมชลประทานจะติดตามและควบคุมการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล่้งปี 2568/69 ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ พร้อมทั้งจะปฏิบัติตาม 8 มาตรการรับมือฤดูแล้งปี 2568/69 ที่ได้มาจากการถอดบทเรียนจากมาตรการรับมือฤดูแล้งปี 2567/68 และการเปิดรับฟังความคิดเห็นตลอดจนข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบอย่างเคร่งครัด ดังนี้ 1.คาดการณ์ชี้เป้าและแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ 2.สร้างความมั่นคงน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ 3.กำหนดแผนจัดสรรน้ำและปลูกพืชฤดูแล้ง 4.เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ ประหยัดน้ำและลดการสูญเสียน้ำในทุกภาคส่วน 5.เฝ้าระวังและแก้ไขคุณภาพน้ำ 6.เสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการบริหารจัดการน้ำของชุมชน-องค์กรผู้ใช้น้ำ 7.สร้างการรับรู้ ประชาสัมพันธ์ และ8.ติดตามประเมินผลการดำเนินงาน” ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กรมชลประทานกล่าว
จากปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ ผนวกกับแผนบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ ปีนี้ประเทศไทยจะมีน้ำเพียงพอใช้ในฤดูแล้งปี2568/69 และช่วงต้นฤดูฝนปี 2569 อย่างแน่นอน
