เปิดกลยุทธ์ “น้ำไม่ถึงนา เรียกหาเรา”

สำนักงานจัดรูปที่ดินกลาง กรมชลประทาน มีภารกิจในการรวบรวมที่ดินหลายแปลงในบริเวณเดียวกันมาวางผังจัดรูปที่ดินใหม่ ปรับระดับพื้นที่ดิน บำรุงดิน ช่วยวางแผนการผลิตและการจัดจำหน่ายผลิตผลการเกษตร รวมถึงการแลกเปลี่ยน ถ่ายโอน การรับโอนสิทธิ์ในที่ดิน การให้เช่าซื้อที่ดิน และอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม รวมไปถึงการจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรกรรม โดยจัดระบบชลประทานจากทางน้ำชลประทานหรือแหล่งน้ำอื่นใดไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ ที่เหมาะสมแก่การทำเกษตรกรรมได้อย่างทั่วถึง ตลอดจนการจัดสร้างถนนหรือทางลำเลียงในไร่นา

กรมชลประทานได้กำหนดเป้าหมายที่จะจัดรูปที่ดินพร้อมพัฒนาระบบชลประทานในไร่นาพื้นที่ที่มีศักยภาพภายใน 20 ปี เพิ่มอีก 8.47 ล้านไร่ และรักษาพื้นที่เกษตรกรรมที่มีการพัฒนาระบบชลประทานในไร่นาให้มีความยั่งยืน อีก 5.99 ล้านไร่ สามารถประหยัดน้ำชลประทานได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรดิน น้ำ ได้อย่างยั่งยืน และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมทั้งพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เหมาะสมกับการพัฒนาระบบชลประทานในไร่นาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้สุทธิเพิ่มขึ้นและมีศักยภาพในการแข่งขันในตลาด

อย่างไรก็ตาม การชี้แจง ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เกษตรกรจำนวนมากไม่เข้าใจถึงประโยชน์ที่จะได้รับและไม่ให้ความร่วมมือในการพัฒนาระบบกระจายน้ำ ในขณะที่เจ้าหน้าที่ของกรมชลประทานที่จะลงพื้นที่เข้าไปให้ความรู้แก่เกษตรกรมีจำนวนจำกัด แต่สำนักงานจัดรูปที่ดินและจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรมที่ 18 กรมชลประทาน ซึ่งมีพื้นที่รับผิดชอบในเขตจังหวัดฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สระแก้ว และนครนายก สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยใช้กลยุทธ์ “น้ำไม่ถึงนา เรียกหาเรา”
นายศรายุทธ งูทิพย์ ผู้อำนวยการสำนักงานจัดรูปที่ดินและจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรมที่ 18 กรมชลประทาน กล่าวว่า สำนักงานจัดรูปที่ดินฯ ที่ 18 มีพื้นที่ชลประทานในความรับผิดชอบในเขต 4 จังหวัดดังกล่าวรวมทั้งหมด 2.4 ล้านไร่ ในขณะที่มีเจ้าหน้าที่เพียง 11 อัตรา เท่านั้น จึงไม่สามารถเข้าไปพบเกษตรกรที่บ้านได้ทุกราย โดยเฉพาะการเข้าถึงเกษตรกรที่อาศัยในพื้นที่ห่างไกล นอกจากนี้เกษตรกรส่วนใหญ่ยังเป็นผู้สูงวัยอีกด้วย ทำให้ช่องว่างระหว่างวัยเป็นอุปสรรคในการสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ ส่งผลให้การจัดรูปที่ดินโดยการพัฒนาระบบกระจายน้ำชลประทานในไร่นาที่รับผิดชอบไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
“ในปี 2567 เราได้เริ่มนำกลยุทธ์ที่เรียกว่า น้ำไม่ถึงนา เรียกหาเรามาใช้ โดยเปิดช่องทางสื่อสารหลากรูปแบบทั้ง Online และ Onsite เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น สำหรับช่องทาง Online ได้แก่ Facebook Fanpage Line Open-Chat จำนวน 3 กลุ่ม และ Line Official เป็นช่องทางที่เข้าถึงเกษตรกรรุ่นใหม่และผู้นำชุมชนที่มีความคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีการสื่อสาร ซึ่งมีความสะดวกรวดเร็วในการสื่อสารทั้ง 2 ทาง สามารถตอบสนองความต้องการของเกษตรกรรุ่นใหม่และผู้นำชุมชนได้อย่างทันท่วงที ส่วนช่องทาง Onsite ได้แก่ การจัดประชุมกับเกษตรกรในรูปแบบ Face to Face, จัดทำแผ่นป้ายประชาสัมพันธ์ที่มีรายละเอียดการดำเนินงาน รายนามผู้รับผิดชอบพร้อมหมายเลขโทรศัพท์ เมื่อได้รับการติดต่อจากเกษตรและผู้นำชุมชน เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบจะลงพื้นที่เพื่อรับฟังความต้องการสภาพปัญหาและชี้แจงแนวทางการดำเนินการของสำนักงานภายใน 48 ชั่วโมง, และการใช้Young Smart Farmer (YSF) เป็นตัวกลางในการประสานงานกับเกษตรกรผู้สูงอายุที่ไม่คุ้นเคยกับการติดต่อแบบ Online กลัวการหลอกลวงของมิจฉาชีพ การเห็นหน้าตาจะเป็นการสร้างความคุ้นเคยได้มากกว่า” นายศรายุทธ กล่าว
ผลจากการใช้ช่องทางการสื่อสารทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเวลา 1 ปี ส่งผลให้เกษตรกรเกิดการตระหนักรู้ ได้รับความเข้าใจที่ถูกต้องถึงภารกิจในการพัฒนาระบบชลประทานในไร่นาของสำนักงานจัดรูปที่ดินฯ ที่ 18 มากขึ้น เกิดความร่วมมือในการที่กระจายน้ำเข้าสู่แปลงนาของตนได้ทั่วถึงและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น โดยมีเกษตรกรเข้าร่วมพัฒนาและได้รับประโยชน์ ดังนี้
1.เกษตรกรที่มีพื้นที่เพาะปลูกในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาคลองสียัด จ.ฉะเชิงเทรา (ส่งน้ำให้ จ.นครนายกด้วย) ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ มีเกษตรกรที่ได้รับประโยชน์ครอบคลุมพื้นที่ชลประทาน 44,000 ไร่ มีเกษตรกรที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมายการพัฒนาระบบกระจายน้ำเข้าสู่แปลงนาทั้งโครงการจำนวน 5,200 ครัวเรือน พื้นที่ 39,000 ไร่ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ.2568 มีแผนการพัฒนา 2,000 ไร่ ครอบคลุม 230 ครัวเรือน ปรากฏว่ามีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 100% สูงกว่าปีที่ผ่านมาร้อยละ 204
2.เกษตรกรที่มีพื้นที่เพาะปลูกในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษานฤบดินทรจินดา จ.ปราจีนบุรี ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่เช่นกัน มีเกษตรกรที่ได้รับประโยชน์ครอบคลุมพื้นที่ชลประทาน 98,000 ไร่ มีเกษตรกรที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมายการพัฒนาระบบกระจายน้ำเข้าสู่แปลงนาทั้งโครงการจำนวน 14,500 ครัวเรือน พื้นที่ 87,000 ไร่ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ.2568 มีแผนการพัฒนา 2,000 ไร่ ครอบคลุม 312 ครัวเรือน มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 100% สูงกว่าปีที่ผ่านมาร้อยละ 133
3.เกษตรกรที่มีพื้นที่เพาะปลูกในเขตโครงการอ่างเก็บน้ำคลองพระสะทึง จ.สระแก้ว ซึ่งเป็นโครงการขนาดกลาง ครอบคลุมพื้นที่ชลประทานชลประทาน 40,640 ไร่ มีเกษตรกรที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมายการพัฒนาระบบกระจายน้ำเข้าสู่แปลงนาทั้งโครงการจำนวน 4,500 ครัวเรือน พื้นที่ 36,000 ไร่ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ.2568 มีแผนการพัฒนา 900 ไร่ ครอบคลุม 121 ครัวเรือน ปรากฏว่ามีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 100%
ผู้อำนวยการสำนักงานจัดรูปที่ดินฯ ที่ 18 กล่าวเพิ่มเติมว่า เกษตรกรในพื้นที่ร้อยละ 90 มีความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในระดับมากถึงมากที่สุด ในทุกพื้นที่ ที่มีการดำเนินการ เพราะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้เกษตรกรที่มาติดต่องานที่สำนักงาน โดยในแต่ละเดือนจะมีเกษตรกรมาติดต่อสำนักงานเฉลี่ยเดือนละ 10 คน แต่ละคนมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางเฉลี่ย 500 บาทต่อครั้ง ทำให้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้เดือนละ 5,000 บาท หรือปีละ 60,000 บาท นอกจากนี้ยังทำให้เกษตรกรในพื้นที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าหน้าที่ และเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบกระจายน้ำเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้การพัฒนาได้ตามเป้าหมาย โดยปีงบประมาณ พ.ศ.2567 มีพื้นที่ดำเนินการรวม 2,400 ไร่ และปีงบประมาณ พ.ศ.2568 มีพื้นที่ดำเนินการรวม 4,900 ไร่ มีเกษตรกรได้รับประโยชน์จำนวน 8 หมู่บ้าน
“เกษตรกรในพื้นที่ดำเนินการทั้ง 4 จังหวัด ล้วนมีความเชื่อมั่นและไว้วางใจในการดำเนินการ ก่อให้เกิดเครือข่ายเกษตรกรเพิ่มมากขึ้น มีการบอกต่อไปยังชุมชนใกล้เคียง ทำให้มีเกษตรกรแจ้งความจำนงเข้าร่วมโครงการมาเรื่อย ๆ ซึ่งจากการรวบรวมข้อมูลพบว่าใน 4 พื้นที่ดังกล่าว เกษตรกรมีความต้องการให้มีการพัฒนาระบบกระจายน้ำในส่วนที่ยังไม่มีการพัฒนารวมกันมากกว่า 40,000 ไร่ มีเกษตรกรที่ต้องการเข้าร่วมมากกว่า 2,300 ครัวเรือน” นายศรายุทธกล่าว
นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ที่เกษตรกรต้องการขยายเพิ่มอีกจำนวน 4 พื้นที่ ได้แก่ โครงการชลประทานท่าลาด จ.ฉะเชิงเทรา พื้นที่อ่างเก็บน้ำห้วยยาง อ่างเก็บน้ำท่ากะบาก จ.สระแก้ว และพื้นที่โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษานครนายก จ.นครนายก จำนวนรวมมากกว่า 11,000 ไร่ จำนวนเกษตรกรที่จะเข้าร่วมอีกมากกว่า 900 ครัวเรือน ซึ่งจะเป็นเป้าหมายในการดำเนินการของสำนักงานจัดรูปที่ดินและจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรมที่ 18 ในปีต่อ ๆ ไป เพื่อให้ที่ดินของเกษตรกรได้รับการพัฒนาจนสมบูรณ์ทั่วถึงเท่ากันทุกแปลง
ด้านนายสุริยา ลีวิจิตร อายุ 37 ปี อาชีพเกษตรกร และเป็น Young Smart Farmer (YSF) เล่าให้ฟังว่า แต่ก่อนตนมีอาชีพรับราชการก่อนจะผันตนเองมายึดอาชีพเกษตรกรเพราะครอบครัวมีพื้นที่ทำกินอยู่บริเวณโครงการอ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดา ต.บ้านนา อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี เมื่อมาเป็นเกษตรกรจึงมีโอกาสคลุกคลีพูดคุยอย่างใกล้ชิดกับเหล่าเกษตรกรด้วยกันซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ และได้รับทราบว่าเกษตรกรสูงอายุหลายรายประสบปัญหาเรื่องน้ำเข้าไปไม่ถึงแปลงปลูกแม้จะอยู่ในเขตชลประทานและไม่ทราบว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร และเนื่องจากตนเคยเป็นข้าราชการในกรมชลประทานมาก่อน จึงได้นำความรู้เรื่องระบบชลประทานและการจัดรูปที่ดินไปอธิบาย พร้อมกับช่วยเหลือประสานงานให้แปลงเกษตรกรได้รับการจัดรูป มีน้ำเข้าถึงทุกแปลงได้ในที่สุด
“ผมประกอบอาชีพเกษตรกรและเข้าร่วมโครงการ YSF ของเกษตรจังหวัดมาเป็นระยะเวลา 10 ปีแล้ว ครอบครัวทำนา ฟาร์มเห็ด และสวนสมุนไพร จนเมื่อปีที่แล้วได้เข้าไปมีส่วนช่วยเจ้าหน้าที่สำนักงานจัดรูปที่ดิน ฯ ที่ 18 ซึ่งมีจำนวนไม่เพียงพอที่จะเข้าถึงเกษตรกรทุกรายในเขตชลประทาน ร่วมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับงานชลประทานและการจัดรูปที่ดินให้ชาวบ้านในพื้นที่ และการที่ผมสามารถอธิบายข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับงานวิศวกรรม ระบบชลประทาน การจัดรูปที่ดินให้เข้าใจง่าย อีกทั้งเกษตรกรเข้าถึงตัวผมง่าย และที่สำคัญคือความจริงใจในการช่วยเหลือ ทำให้ผมเป็นตัวประสานเชื่อมโยงความเข้าใจระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับเกษตรกรได้เป็นอย่างดี ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเด่นชัดคือโครงการของสำนักงานจัดรูปที่ดิน ฯ ดำเนินการได้เร็วขึ้น สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำเข้าไม่ถึงนาได้ 100%” นายสุริยากล่าว
ขณะนี้สำนักงานจัดรูปที่ดินกลาง ได้นำกลยุทธ์ น้ำไม่ถึงนา เรียกหาเราไปต่อยอด ขยายผลสู่สำนักงานจัดรูปที่ดินฯ อื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ให้บรรลุเป้าหมายตามวางไว้
