ความยั่งยืนของการบริหารจัดการน้ำแบบมีส่วนร่วม“พึ่งพา อาศัย แบ่งให้ แบ่งรับ”

            น้ำมีความสำคัญต่อพืชมากที่สุด เรียกได้ว่า “เป็นหัวใจของเกษตร”  หากไม่มีน้ำไม่มีทางที่พืชจะอยู่รอดได้  แต่การพัฒนาแหล่งน้ำให้เพียงพอกับความต้องการไม่ใช่เรื่องง่ายในยุคปัจจุบัน  กรมชลประทานในฐานะหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบเรื่องน้ำของประเทศ  ไม่ได้คิดจะพัฒนาแหล่งน้ำในการแก้ปัญหาน้ำเท่านั้น แต่ได้นำแนวทางอื่นๆมาใช้ในการแก้ปัญหาควบคู่ไปด้วย

            จังหวัดชัยภูมิ ก็เช่นเดียวกัน เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่มีปัญหาเรื่องน้ำ  โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอบ้านแท่น และอำเภอภูเขียว  เกษตรกรไม่สามารถใช้น้ำบาดาลทำการเกษตรได้  เพราะมีค่าความเค็มเกินมาตรฐาน มีเพียงอ่างเก็บน้ำบ้านเพชร ของกรมชลประทานเท่านั้นที่ใช้เป็นแหล่งน้ำต้นทุน  ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดกลางมีความจุ 19.675 ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.)  แต่ไม่เพียงพอกับความต้องการ เกิดศึกแย่งชิงน้ำระหว่างผู้ปลูกข้าวกับผู้ปลูกส้มโอในพื้นที่อ่างเก็บน้ำบ้านเพชร ด้วยกันเอง จนไม่สามารถหาข้อยุติได้ ทำให้พืชผลเสียหาย เกษตรกรในพื้นที่สูญเสียรายได้ และขาดความมั่นคงในอาชีพ

            กรมชลประทาน โดยโครงการชลประทานชัยภูมิ จึงได้เข้าไปช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว โดยใช้พลังประชาชนเป็นศูนย์กลาง ภายใต้แนวคิด “พึ่งพา อาศัย แบ่งให้ แบ่งรับ”  ปรากฎว่าประสบผลสำเร็จจนทำให้ โครงการชลประทานชัยภูมิได้รับรางวัลเลิศรัฐประจำปี 2568 ในด้านการบริการราชการแบบมีส่วนร่วม ระดับดี ประเภทสัมฤทธิผลประชาชนมีส่วนร่วม

            นายนัทธี นุ่มมาก ผู้อำนวยการโครงการชลประทานชัยภูมิ กรมชลประทาน เล่าว่า  แต่เดิมเกษตรกรส่วนใหญ่ใน 2 อำเภอดังกล่าว จะทำนา ทำสวนอ้อย และปลูกไม้ผลประปรายภายในพื้นที่เดียวกัน เพื่อให้เกิดรายได้สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนทั้งปี ต่อมาปี 2540 มีเกษตรกรเริ่มนำส้มโอพันธุ์ทองดีเข้ามาปลูกในพื้นที่ ผลผลิตที่ได้รับมีคุณภาพสูง ขายราคาดีจนกลายเป็นไม้ผลเศรษฐกิจสำคัญและได้รับการรับรองมาตรฐานสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI มีพ่อค้าเข้ามารับซื้อเพื่อส่งออกต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นฮ่องกง หรือไต้หวัน  ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเกษตรกรหลายรายได้เริ่มขยายพื้นที่เพาะปลูกส้มโอเพิ่มขึ้น  ทำให้การใช้น้ำเป็นปัจจัยสำคัญ

            เป็นที่ทราบกันดีว่า พื้นที่ดังกล่าวไม่สามารถใช้น้ำบาดาลได้ เพราะมีค่าความเค็มเกินมาตรฐาน การเพาะปลูกจึงต้องอาศัยน้ำจากอ่างเก็บน้ำบ้านเพชร เป็นหลัก  ดังนั้นเมื่อมีการขยายพื้นที่ปลูกส้มโอ ผลกระทบเรื่องน้ำเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น  แม้การปลูกส้มโอ อ้อย และข้าว มีความต้องการใช้น้ำคนละช่วงเวลาก็ตาม  โดยในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน เป็นช่วงที่ข้าวต้องการน้ำในการแตกกอเจริญเติบโตออกดอกสร้างรวง ช่วงเดือนธันวาคมเป็นช่วงที่ส้มโอออกดอกสร้างผล จำเป็นต้องใช้น้ำมาก  แต่เกษตรกรเริ่มมีการใช้น้ำฟุ่มเฟือยเพราะไม่รู้สึกว่าตนเองเป็นเจ้าของระบบชลประทาน จึงไม่ให้ความร่วมมือในการใช้น้ำอย่างมีคุณค่าตลอดจนการบำรุงรักษา  ทำให้น้ำไม่เพียงพอกับความต้องการโดยเฉพาะในฤดูแล้งที่น้ำในอ่างฯมีน้อย  ทำให้เกิดศึกแย่งชิงน้ำระหว่างผู้ปลูกข้าวกับผู้ปลูกส้มโอ

            หากปล่อยให้เกิดความขัดแย้งแย่งชิงน้ำ อาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเกษตรและการพัฒนาเศรษฐกิจของ จ.ชัยภูมิ ระยะยาวได้ โครงการชลประทานชัยภูมิ จึงเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาโดยได้ผสมผสานแนวทางดำเนินการ 5 วิธีดังต่อไปนี้

1.จัดตั้งกลุ่มบริหารการใช้น้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำบ้านเพชร (คลองฝั่งขวา) เพื่อบริหารจัดการน้ำ วางแผนการใช้ที่ดิน และน้ำชลประทานให้เหมาะสมกับสภาพดินและปริมาณน้ำต้นทุนในแต่ละฤดูกาลเพาะปลูกให้กับสมาชิกผู้ใช้น้ำได้ใช้น้ำอย่างทั่วถึงในพื้นที่จำนวน 4,466 ไร่ ปัจจุบันมีกลุ่มผู้ใช้น้ำพื้นฐานระดับท่อที่อยู่ภายใต้กลุ่มบริหารจำนวน 49 กลุ่ม และยังมีคณะกรรมการจัดการชลประทาน (JMC) อ่างเก็บน้ำบ้านเพชรอีกด้วย

2.ใช้กระบวนการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา โดยให้ผู้ใช้น้ำทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนการบริหารจัดการน้ำต้นทุน กำหนดกฎ กติกาการใช้น้ำ รับทราบปัญหาของกันและกัน โดยยึดหลัก “พึ่งพา อาศัย แบ่งให้ แบ่งรับ” ทำให้เกิดความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ สร้างความเข้าใจตรงกัน  สร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มผู้ใช้น้ำ   วางระบบบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นธรรม โปร่งใส แก้ไขปัญหาความขัดแย้ง เพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ำได้อย่างยั่งยืน

            3.ส่งเสริมเทคโนโลยีการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้กลุ่มผู้ใช้น้ำ นำระบบอ่างพวง เทคโนโลยีมินิสปริงเกอร์ ระบบน้ำหยด    สามารถช่วยประหยัดน้ำได้จากเดิมใช้น้ำปริมาณปีละ 2,000 ลบ.ม.ต่อไร่ เมื่อใช้ระบบมินิสปริงเกอร์จะใช้น้ำเพียงปีละ 400 ลบ.ม.ต่อไร่ ลดการสูญเสียน้ำเกินความจำเป็น นอกจากนี้มีการใช้โดรนเพื่อการเกษตรบินพ่นน้ำหมักชีวภาพ ช่วยลดระยะเวลาพ่นยาและแรงงานคน ส่งเสริมให้เกษตรกรผู้ใช้น้ำในสวนส้มโอขุดสระเก็บกักน้ำเป็นของตนเองเพื่อสำรองไว้ใช้ยามขาดแคลน ช่วยให้มีน้ำใช้เพียงพอตลอดปี   

4.เพิ่มประสิทธิภาพเครื่องมือชลประทาน โดยการขุดลอกเพิ่มความจุอ่างเก็บน้ำบ้านเพชรจากเดิม 19.67 ล้านลบ.ม.  เป็น 21.35 ล้านลบ.ม.  ก่อสร้างอาคารบังคับน้ำในลำห้วยหมาตาย 6 แห่งที่ ต.บ้านแท่น อ.บ้านแท่น ความสามารถเก็บกักน้ำในลำห้วยได้ 900,000 ลบ.ม. ช่วยเหลือพื้นที่เกษตรได้ 5,000 ไร่ ทำให้มีน้ำเพียงพอที่จะสนับสนุนเกษตรแปลงใหญ่ส้มโอและข้าว บรรเทาปัญหาขาดแคลนน้ำทุกกิจกรรมช่วงฤดูแล้ง พร้อมทั้งพัฒนาระบบชลประทานในระดับแปลงนาที่เหมาะสมตามความยินยอมของเกษตรกรเจ้าของที่ดิน

และ 5.เจ้าหน้าที่ฝ่ายส่งน้ำและบำรุงรักษาที่ 3 โครงการชลประทานชัยภูมิ ได้ร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตร ในการส่งเสริมเกษตรกรที่ปลูกข้าวและส้มโอให้เข้าร่วมโครงการเกษตรแปลงใหญ่ทั้งหมด ทำให้มีกระบวนการพัฒนาที่ชัดเจน ได้รับการสนับสนุนองค์ความรู้และอุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน มีการพัฒนาผลผลิตให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้าในและนอกประเทศ จนกระทั่งส้มโอพันธุ์ทองดี หรือ เมื่อมาปลูกในอ.บ้านแท่น ได้ชื่อว่า “ส้มโอบ้านแท่น” ได้รับการตรวจสอบผ่านมาตรฐาน GAP (Good Agricultural Pratices) มาตรฐาน GI  มาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Pratices) ทั้งหมด  

“ผลลัพธ์จากการดำเนินการที่เห็นเด่นชัดคือ ในด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากเกษตรกรผู้ปลูกได้รับความมั่นคงด้านน้ำ ทำให้สามารถขายข้าว อ้อย ส้มโอได้ในราคาเหมาะสม  ต้นทุนการผลิตลดลง เกษตรกรมีความมั่นใจที่จะลงทุนปลูกสวนส้มโอบ้านแท่น ผลไม้มีชื่อเสียงของ จ.ชัยภูมิ  ซึ่งในปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกส้มโอรวม 1,800 ไร่ สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรในปี 2566 จำนวน 180 ล้านบาท หรือคิดเป็นปีละ 150,000 บาทต่อไร่ เพิ่มจากการทำนาที่ได้ปีละ 6,500 บาทต่อไร่ รายได้มากกว่าการทำนาถึง 23 เท่า สมาชิกกลุ่มผู้ใช้น้ำมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น  มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อความยั่งยืน  สนับสนุนให้เศรษฐกิจของจังหวัดเข้มแข็ง” ผู้อำนวยการโครงการชลประทานชัยภูมิ กล่าว

นอกจากนี้ในด้านสังคม จากที่ต่างคนต่างทำมาหากิน แย่งกันใช้ทรัพยากรน้ำ หลังจากรวมกลุ่มตั้งเป็นกลุ่มผู้ใช้น้ำแล้ว สมาชิกของกลุ่มให้ความใส่ใจร่วมมือในการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ มีการย้ำเตือนกันเองทุกครั้งว่า “จงใช้น้ำอย่างประหยัดแต่ให้ได้ประโยชน์สูงสุด เสียสละ ร่วมมือ ร่วมแรงร่วมใจ พัฒนาปรับปรุงบำรุงซ่อมแซมก่อนเปิดน้ำทุกครั้ง” และ “อ่างเก็บน้ำ อาคารชลประทาน ระบบส่งน้ำเป็นของพี่น้องทุกคน ต้องร่วมกันพัฒนาและรับผิดชอบ”  แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง ทำให้ปัญหาต่าง ๆ หมดไป อีกทั้งคนรุ่นใหม่นิยมหันมาทำการเกษตรมากขึ้น มีการพัฒนาต่อยอดร่วมกับพ่อแม่แทนที่จะย้ายออกนอกพื้นที่ ทำให้ครอบครัวอบอุ่น เพิ่มความสุขให้สังคม

ขณะเดียวกันในด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้สภาพแวดล้อมในพื้นที่ดีขึ้น เกษตรกรหันมาใช้สารอินทรีย์และปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพแทนการใช้สารเคมี ปรับเปลี่ยนการทำไร่นามาเป็นการเกษตรแบบผสผสานม และการมีแหล่งเก็บน้ำในพื้นที่เป็นของตนเองยังเป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นในดิน ช่วยให้ดินอุดมสมบูรณ์ ซึ่งจะเป็นการ อนุรักษ์ทั้งดินและน้ำในระยะยาว

กรมชลประทานได้ดำเนินการบรรเทาปัญหาอันเกิดจากน้ำให้พี่น้องประชาชนด้วยระบบชลประ ทานที่ดี ส่งเสริมการมีส่วนร่วม และมีแนวดำเนินงานชัดเจน กระทั่งปัญหาได้รับการแก้ไขให้เห็นผลลัพธ์เป็นรูปธรรม ได้รับการตอบสนองที่ดี เห็นได้จากกลุ่มใช้น้ำที่มีความเข้มแข็ง และคาดหวังว่าความมั่นคงด้านน้ำจะช่วยให้ผลผลิตด้านเกษตรกรรมเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีและยั่งยืน