บพข. หนุนทีมวิจัย มข. พลิกโฉมโลจิสติกส์ทางน้ำไทย!
หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผยความสำเร็จของทีมวิจัยมหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ทางน้ำของไทยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ สามารถลดต้นทุนด้านพลังงานให้ผู้ประกอบการได้หลายล้านบาทต่อปี พร้อมสร้างต้นแบบการขนส่งที่ยั่งยืน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
การขนส่งสินค้าทางน้ำนับเป็นหัวใจสำคัญของระบบเศรษฐกิจไทย เนื่องจากมีต้นทุนที่ถูกกว่าการขนส่งรูปแบบอื่นและสามารถขนส่งสินค้าได้ในปริมาณมาก โดยมีเส้นทางแม่น้ำเจ้าพระยาและป่าสักเป็นเส้นทางหลักในการลำเลียงสินค้าเข้าสู่พื้นที่เศรษฐกิจภาคกลาง ซึ่งมีปริมาณการขนส่งรวมกว่า 38.994 ล้านตันในปี 2565 อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการยังคงประสบปัญหาต้นทุนโลจิสติกส์ที่สูงขึ้น จากกระบวนการที่ยังขาดการนำเทคโนโลยีและข้อมูลมาใช้ในการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยเหตุนี้ บพข. จึงได้สนับสนุนทุนวิจัยแก่คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น นำโดย ศ.ดร.กาญจนา เศรษฐนันท์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ในการดำเนินโครงการวิจัย 2 โครงการหลัก เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าเทกองตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การขนถ่ายสินค้ากลางทะเลไปจนถึงการลำเลียงในลำน้ำ
สำเร็จ! ลดต้นทุนขนถ่ายกลางทะเลกว่า 3 ล้านบาทต่อปี
โครงการแรกคือ “การบริหารจัดการระบบโลจิสติกส์การขนถ่ายสินค้าเทกองที่ทุ่นขนถ่ายสินค้ากลางทะเลโดยใช้ระบบสารสนเทศและดิจิทัลแพลตฟอร์ม” ซึ่งดำเนินการเสร็จสิ้นในปี 2567 โดยร่วมมือกับบริษัท เอส.พี.อินเตอร์ มารีน จำกัด
ศ.ดร.กาญจนา เปิดเผยว่า เดิมทีกระบวนการขนถ่ายสินค้าเทกองบริเวณเกาะสีชัง ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนถ่ายสินค้านำเข้า-ส่งออกที่สำคัญ ยังคงใช้ระบบแมนนวล (Manual) และขาดการบันทึกข้อมูลการใช้พลังงานที่ชัดเจน ทำให้ไม่สามารถวางแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพและส่งผลให้ต้นทุนสูง ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาซอฟต์แวร์และดิจิทัลแพลตฟอร์มขึ้นเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากการนำระบบไปใช้งานจริง พบว่า:
- ลดการใช้เชื้อเพลิง ในการวางแผนการขนถ่ายได้กว่า 88,708 ลิตรต่อปี
- ประหยัดต้นทุนด้านพลังงาน ได้ถึง 3.11 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 5.83%
- ลดระยะเวลาการขนถ่ายลง 826.8 ชั่วโมงต่อปี (12.52%) ซึ่งเวลาที่ลดลงนี้สามารถนำไปขนถ่ายสินค้าเพิ่มได้ถึง 6.578 ล้านตันต่อปี
- วิเคราะห์และเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักร ผ่านระบบ Big data ทำให้สามารถลดต้นทุนจากการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและเครนได้อีกกว่า 2.16 ล้านบาทต่อปี
หากขยายผลสำเร็จนี้ครอบคลุมปริมาณการขนถ่ายสินค้าเทกองทางลำน้ำของประเทศ จะสามารถประหยัดพลังงานได้ถึง 938,200 ลิตรต่อปี คิดเป็นมูลค่า 33 ล้านบาทต่อปี และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 2,500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
ต่อยอดสู่การขนส่งในลำน้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก ตั้งเป้าลดต้นทุนอีก 7 ล้านบาท
จากความสำเร็จดังกล่าว ทีมวิจัยได้ต่อยอดสู่โครงการ “ยกระดับระบบโลจิสติกส์การขนส่งสินค้าเทกองของเรือลากจูงในลำน้ำเจ้าพระยาและป่าสักโดยใช้ระบบสารสนเทศและดิจิทัลแพลตฟอร์ม” ซึ่งปัจจุบันโครงการมีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 60% โครงการนี้มุ่งเน้นแก้ปัญหาในกระบวนการลำเลียงสินค้าจากเกาะสีชังมายัง อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเดิมประสบปัญหาประสิทธิภาพเรือลากจูงที่แตกต่างกัน และการจัดตารางเดินเรือที่ยังอาศัยการคำนวณด้วยมือ ทีมวิจัยได้ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูง เช่น:
- การติดตั้งเซ็นเซอร์และระบบ GPS เพื่อตรวจวัดอัตราการใช้พลังงานและติดตามตำแหน่งเรือแบบเรียลไทม์
- การพัฒนา Machine Learning เพื่อพยากรณ์อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและหาเงื่อนไขการเดินเรือที่เหมาะสมที่สุด
- การพัฒนาซอฟต์แวร์จัดตารางการเดินเรือ (Tugboat-barge scheduling software) ที่ใช้อัลกอริทึมขั้นสูงเพื่อจัดสรรเรือและลดเวลารอคอย
- การสร้างระบบฐานข้อมูล Big Data และ Dashboard ที่แสดงผลบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหาร
“ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการนี้ คือจะสามารถลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้ไม่น้อยกว่า 200,000 ลิตรต่อปี หรือคิดเป็นต้นทุนที่ลดลงประมาณ 7 ล้านบาทต่อปี และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี” ศ.ดร.กาญจนา กล่าว
เตรียมขยายผลสู่วงกว้าง
สำหรับแผนในอนาคต คณะผู้วิจัยมีแผนจะขยายผลการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยทั้งสองโครงการไปสู่ผู้ประกอบการใน “สมาคมผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางน้ำ” เพื่อให้เกิดการนำไปประยุกต์ใช้ในวงกว้าง อีกทั้งข้อมูลจากโครงการยังสามารถใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงให้หน่วยงานภาครัฐใช้กำหนดแนวทางและมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการเพื่อลดต้นทุนด้านพลังงานได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป