สทนช. ผนึกกำลังทุกหน่วยบูรณาการงานเชิงรุก

สทนช. บูรณาการหน่วยงานรุกรับมือฝนตกหนักและพายุช่วงกลาง-ปลายฤดูฝน ทบทวนและปรับแผนการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ลงพื้นที่เสี่ยงติดตามมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 ประเมินชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมทั่วประเทศ ตรวจสอบความแข็งแรงของเขื่อนทุกแห่ง เตรียมพร้อมเครื่องมือ เครื่องจักร และจัดทำแผนแจ้งเตือนอุทกภัยทั้งระบบ

            ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า สทนช. ได้บูรณาการดำเนินการเชิงรุกรับมือฤดูฝน ปี 2568 มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ก่อนเข้าสู่ฤดูฝน จนถึงระหว่างช่วงฤดูฝนในขณะนี้ ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ว่าในช่วงเดือนกรกฎาคม ปริมาณและการกระจายตัวของฝนบริเวณประเทศไทยยังคงมีน้อย เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยยังคงมีกำลังอ่อน จากนั้นปริมาณและการกระจายตัวของฝนจะกลับมาเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคใต้ฝั่งตะวันตก ประกอบกับจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากในบางแห่ง เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยจะกลับมามีกำลังแรงขึ้น ในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม ปริมาณฝนจะเพิ่มมากขึ้นและจะเป็นช่วงที่ฝนตกชุกที่สุดของปี ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากพายุหมุนเขตร้อน 1-2 ลูก ที่อาจพัดเข้ามาในประเทศไทย โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งได้ในหลายพื้นที่

            อย่างไรก็ตาม สทนช. ได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วางแผนรับมือสถานการณ์ฝนที่จะตกหนักดังกล่าวแล้ว โดยได้ติดตามการดำเนินงานตาม 9 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 อย่างใกล้ชิด เพื่อให้เป็นตามแผนที่วางไว้ ได้แก่ มาตรการที่ 1 คาดการณ์ชี้เป้าและแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและพื้นที่เสี่ยงฝนทิ้งช่วง การคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงอุทกภัยล่วงหน้าจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2568 พบว่า เดือนกรกฎาคม จะมีพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและน้ำท่วมฉับพลัน จำนวน 18 จังหวัด 55 อำเภอ 203 ตำบล เดือนสิงหาคม มีพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและน้ำท่วมฉับพลัน จำนวน 29 จังหวัด 125 อำเภอ 348 ตำบล เดือนกันยายน มีพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและน้ำท่วมฉับพลัน จำนวน 50 จังหวัด 281 อำเภอ 1,038 ตำบล  เดือนตุลาคม มีพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและน้ำท่วมฉับพลัน จำนวน 54 จังหวัด 342 อำเภอ 1,604 ตำบล และเดือนพฤศจิกายน มีพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและน้ำท่วมฉับพลัน จำนวน 37 จังหวัด 204 อำเภอ 962 ตำบล

            นอกจากนี้ สทนช. ยังได้ร่วมกับหน่วยงานประเมิน วิเคราะห์สถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง ได้มีประกาศแจ้งเตือนไปแล้ว 9  ฉบับ พร้อมทั้งได้ตรวจสอบและเตรียมความพร้อมของอุปกรณ์เตือนภัยทั้งประเทศ รวมทั้งจัดทำฐานข้อมูลพื้นที่เปราะบาง เพื่อให้สามารถแจ้งเตือนสถานการณ์ให้แก่ประชาชนได้ทันท่วงที

            มาตรการที่ 2 ทบทวน ปรับปรุงเกณฑ์บริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำ อาคารควบคุมบังคับน้ำอย่างบูรณาการในระบบลุ่มน้ำและกลุ่มลุ่มน้ำ สทนช. ได้มีการวางแผนบริหารจัดการน้ำอย่างรัดกุม เน้นการบริหารจัดการอ่างเก็บน้ำให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกันในระดับลุ่มน้ำและกลุ่มลุ่มน้ำ โดยจะมีการทบทวนและปรับแผนการบริหารจัดการน้ำ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้อ่างเก็บน้ำแต่ละแห่งสามารถกักเก็บน้ำได้เต็มศักยภาพ เพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภค การเกษตร และรักษาระบบนิเวศในช่วงฤดูแล้งถัดไปมาตรการที่ 3 เตรียมความพร้อมเครื่องจักรเครื่องมือ อาคารชลศาสตร์ ระบบระบายน้ำ โทรมาตร และบุคลากรประจำพื้นที่เสี่ยง ให้สามารถรองรับสถานการณ์ในช่วงน้ำหลากและฝนทิ้งช่วง โดยได้จัดทำระบบฐานข้อมูลเครื่องจักร-เครื่องมือ มีการตรวจสอบความแข็งแรงของเขื่อนทุกแห่ง พบว่า มีความมั่นคงแข็งแรง ไม่มีรอยร้าว ไม่มีการรั่วซึม ไม่เสี่ยงเกิดการวิบัติ รวมทั้งได้ตรวจสอบสิ่งกีดขวางทางน้ำ พร้อมจัดทำแผนดำเนินการกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ จัดการพื้นที่น้ำท่วม/พื้นที่ชะลอน้ำ และการปรับปรุงคูคลอง เพิ่มพื้นที่รับน้ำและระบายน้ำได้อย่างสะดวกรวดเร็ว เพื่อรองรับสถานการณ์น้ำหลาก

            มาตรการที่ 4 ตรวจสอบพร้อมติดตามความมั่นคงปลอดภัย คันกั้นน้ำ ทำนบ พนังกั้นน้ำ ให้มีสภาพพร้อมใช้งาน ได้มีการปรับปรุงซ่อมแซมคันกั้นน้ำ พนังกั้นน้ำ และทำนบแล้ว จำนวน 467 แห่ง รวมทั้งเสริมความสูงคันกั้นน้ำในจุดที่มีความเสี่ยงคันคลองที่มีระดับต่ำ ให้สามารถใช้งานได้ก่อนเข้าสู่ฤดูน้ำหลาก และเฝ้าระวังให้สามารถใช้งานได้ตลอดฤดูฝน มาตรการที่ 5 เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของทางน้ำอย่างเป็นระบบ ได้ประยุกต์ใช้ข้อมูลจากผังน้ำ ทั้ง 22 ลุ่มน้ำ ในการกำหนดพื้นที่น้ำหลาก น้ำนอง และพื้นที่ลุ่มต่ำ รวมทั้งการกำจัดผักตบชวาและวัชพืชลอยน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้กำจัดวัชพืชไปแล้วกว่า 4.56 ล้านตัน ขุดลอกคูคลองแล้ว 251.74 กิโลเมตร และลอกท่อแล้ว 3,664 กิโลเมตร มาตรการที่ 6 ซักซ้อมแผนเผชิญเหตุตั้งศูนย์ส่วนหน้าก่อนเกิดภัยและฟื้นฟูสภาพให้กลับสู่สภาพปกติ สทนช. ได้ตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ จังหวัดเชียงราย และในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออกและลุ่มน้ำบางปะกง จังหวัดระยอง นอกจากนี้ ได้เตรียมตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าฯ ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดหนองคายด้วย เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือ ติดตามประเมิน วิเคราะห์สถานการณ์น้ำ และอำนวยการหน่วยงานในพื้นที่บริหารจัดการมวลน้ำในช่วงฤดูฝนให้เกิดความเป็นเอกภาพจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายโดยเร็ว โดยมีฐานข้อมูลศูนย์พักพิงอุทกภัยชั่วคราวทั่วประเทศ จำนวน 10,764 แห่ง

มาตรการที่ 7 เร่งพัฒนาและเก็บกักน้ำ ในแหล่งน้ำทุกประเภทช่วงปลายฤดูฝน ปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างจัดทำฐานข้อมูลกักเก็บน้ำในช่วงปลายฤดูฝน มาตรการที่ 8 สร้างการรับรู้ความเสี่ยงและสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายในการติดตามเฝ้าระวัง รับมือภัยด้านน้ำ ได้จัดทำแผนบูรณาการการแจ้งเตือนอุทกภัยทั้งระบบ ระยะสั้น และระยะยาว พร้อมแผนยุทธศาสตร์การประชาสัมพันธ์ในภาวะวิกฤติ รวมทั้งยังได้มีการจัดอบรมเสริมสร้างประสิทธิภาพการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์พิบัติภัยแผ่นดินถล่มใน 4 พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดตาก จังหวัดเชียงราย และจังหวัดแม่ฮ่องสอนอีกด้วย และมาตรการที่ 9 ติดตามประเมินผล ปรับมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภัย สทนช. ได้ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ข้อมูลและแจ้งข้อมูลแก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมน้ำนอกแนวคันกั้นน้ำ แนวเขื่อนชั่วคราวในบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) และพื้นที่จุดเสี่ยงที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำตามริมแม่น้ำได้ทราบล่วงหน้า เตรียมเครื่องจักรเครื่องมือ ตลอดจนปรับแผนบริหารจัดการน้ำอ่างเก็บน้ำ เขื่อนระบายน้ำ และประตูระบายน้ำ เพื่อบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์

“นอกเหนือจากการวางแผนและติดตามประเมินความก้าวหน้ามาตรการรับมือฤดูฝนแล้ว สทนช. ยังได้ทำงานเชิงรุกในการรับมือฤดูฝนปีนี้ โดยได้ลงพื้นที่เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์แล้วใน 32 จังหวัด ภายใต้คู่มือการขับเคลื่อนการดำเนินการตามมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 ที่ สทนช. จัดทำขึ้น โดยล่าสุดได้ลงพื้นที่ลุ่มน้ำโขงเหนือ ได้แก่ จังหวัดลำปาง พะเยา เชียงราย และลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดสกลนคร นครพนม บึงกาฬ หนองคาย เพื่อทบทวนและปรับแผนการบริหารจัดการน้ำของอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำต่างๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง โดยเร่งระบายน้ำล่วงหน้าเพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับปริมาณน้ำก่อนมีฝนตกชุกในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม เพื่อให้มีน้ำอยู่ในเกณฑ์ความจุไม่เกิน 80% ของความจุอ่าง ลดความเสียหายบริเวณพื้นที่ด้านท้ายอ่างฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สทนช. ได้ขับเคลื่อนการสร้างเครือข่ายภาคประชาชนในการแจ้งเตือนภัยด้านน้ำระดับพื้นที่ โดยสามารถติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำผ่านช่องทาง Line Official Account : ไทยคู่ฟ้า และผ่านช่องทาง Application : National ThaiWater พร้อมทั้งสามารถแจ้งเหตุหรือรายงานอุทกภัยผ่าน Application เพื่อให้หน่วยงานสามารถเข้าไปช่วยเหลือในพื้นที่ได้อย่างตรงจุด ลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นให้เหลือน้อยที่สุด” เลขาธิการ สทนช. กล่าวย้ำในตอนท้าย