กนช. เฝ้าระวัง คุมเข้ม ตรวจความพร้อมรับมือฝน ปี 2568

           ภายหลังจากกรมอุตุนิยมวิทยาประกาศประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2568 คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ซึ่งมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธาน ได้สั่งการให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วางแผนการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์เพื่อรองรับปริมาณน้ำในช่วงฤดูฝนนี้ โดยให้คำนึงถึงปริมาณน้ำในช่วงฤดูแล้งถัดไปด้วย และให้ดำเนินการตาม 9 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 ของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซากให้เฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมเตรียมแผนป้องกันกรณีเกิดน้ำท่วมฉับพลัน หรือน้ำป่าไหลหลาก เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและพื้นที่เศรษฐกิจให้ได้มากที่สุด

            นอกจากนี้ยังวางแผนจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยในภาคเหนือ  ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ โดยเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมาได้มีการประชุมศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย เพื่อบริหารจัดการมวลน้ำในช่วงฤดูฝน ป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม รวมทั้งแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก แม่น้ำรวก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง
ที่พบการปนเปื้อนสารโลหะหนักที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน และล่าสุดเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ได้มีการประชุมศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออกและลุ่มน้ำบางปะกงณ องค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้น

            ทั้งนี้ในฤดูฝน ปี 2568 สทนช. คาดการณ์ว่า แนวโน้มปริมาณฝนจะใกล้เคียงกับปี 2542 โดยมีปริมาณฝนเฉลี่ยทั่วประเทศประมาณ 1,630 มิลลิเมตร สูงกว่าค่าปกติร้อยละ 9 และคาดว่าจะมีพายุพัดผ่านประเทศไทย 1–2 ลูก โดยเฉพาะในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ จะมีฝนตกชุกต่อเนื่อง มีฝนฟ้าคะนองครอบคลุมร้อยละ 40–60 ของพื้นที่ และฝนตกหนักถึงหนักมากในบางพื้นที่ ยกเว้นภาคตะวันออกและภาคใต้ฝั่งตะวันตกที่อาจมีฝนฟ้าคะนองมากถึงร้อยละ 60–80 ของพื้นที่ จนถึงประมาณปลายเดือนมิถุนายน และจะมีสภาวะฝนทิ้งช่วงในเดือนกรกฎาคม

            ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า สทนช. ได้ติดตามการดำเนินงานในการเตรียมรับมือฤดูฝนของหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้เน้นย้ำให้ดำเนินการตาม 9 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 อย่างเข้มข้น พร้อมเร่งดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว รวมทั้งรายงานความก้าวหน้าให้ สทนช. ทราบ ทุกวันที่ 5 ของเดือน ล่าสุด (ข้อมูล ณ วันที่ 5 มิถุนายน 2568) มีผลการดำเนินงาน ดังนี้ 

            มาตรการที่ 1 คาดการณ์ชี้เป้า และแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและพื้นที่เสี่ยงฝนทิ้งช่วง เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมการเฝ้าระวังและเข้าไปให้การช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที โดยมีการคาดการณ์ชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงของเดือนพฤษภาคม ใน 29 จังหวัด 138 อำเภอ 541 ตำบล และมีประกาศแจ้งเตือนเฝ้าระวัง จำนวน 5 ฉบับ พร้อมจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ ณ จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ส่วนเดือนมิถุนายนได้คาดการณ์ชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงใน 40 จังหวัด 139 อำเภอ 397 ตำบล และพื้นที่เสี่ยงฝนทิ้งช่วงใน 2 จังหวัด 13 อำเภอ 58 ตำบล พร้อมจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออกและลุ่มน้ำบางปะกง ณ จังหวัดระยอง เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568

            มาตรการที่ 2 ทบทวน ปรับปรุง เกณฑ์บริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำ อาคารควบคุมบังคับน้ำอย่างบูรณาการในระบบลุ่มน้ำและกลุ่มลุ่มน้ำ สทนช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนเกณฑ์การบริหารจัดการกลุ่มลุ่มน้ำ โดยกรมชลประทานได้จัดทำแผนจัดสรรน้ำของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ จำนวน 17,163 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) โดยจัดสรรให้ภาคการเกษตร 7,711 ล้าน ลบ.ม. การอุปโภค-บริโภค 1,658 ล้าน ลบ.ม. ภาคอุตสาหกรรม 415 ล้าน ลบ.ม. การรักษาระบบนิเวศ 4,286 ล้าน ลบ.ม. และอื่น ๆ 2,870 ล้าน ลบ.ม. และจัดทำแผนการเพาะปลูกพืชในฤดูฝน จำนวน 24.36 ล้านไร่ ได้แก่ ข้าวนาปี 17.87 ล้านไร่ พืชไร่-พืชผัก 0.56 ล้านไร่ และอื่น ๆ 5.93 ล้านไร่  นอกจากนี้ กรมชลประทานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ได้จัดทำแผนบริหารจัดการน้ำรายอ่าง จำนวน 35 แห่ง โดยมีเป้าหมายเบื้องต้น ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 ให้มีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ร้อยละ 80 ของความจุ เพื่อการบริหารความเสี่ยงในช่วงฤดูน้ำหลากสำหรับพื้นที่ท้ายน้ำให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ในการปรับเพิ่มแผนการระบายน้ำในช่วงต้นฤดูฝน และจะมีการพิจารณาปรับแผนการระบายน้ำทุกเดือนเพื่อให้มีปริมาณน้ำ ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

            มาตรการที่ 3 เตรียมความพร้อมเครื่องจักรเครื่องมือ อาคารชลศาสตร์ ระบบระบายน้ำ โทรมาตร และบุคลากรประจำพื้นที่เสี่ยง ให้สามารถรองรับสถานการณ์ในช่วงน้ำหลากและฝนทิ้งช่วง โดยขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยของเขื่อนและอาคารชลศาสตร์ เพื่อรองรับแผ่นดินไหวเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ กรมชลประทานได้เตรียมความพร้อมเครื่องจักรเครื่องมือ จำนวน 3,304 แห่ง ระบบโทรมาตร 635 แห่ง กรมทรัพยากรน้ำเตรียมความพร้อมระบบโทรมาตร 1,951 แห่ง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เตรียมความพร้อมเครื่องจักรเครื่องมือ 889 แห่ง รวมทั้ง สทนช. ได้ดำเนินการตรวจสอบสิ่งกีดขวางทางน้ำจากข้อมูลผังน้ำ จำนวน 321 แห่ง

            มาตรการที่ 4 ตรวจสอบพร้อมติดตามความมั่นคงปลอดภัย คันกั้นน้ำ ทำนบ และพนังกั้นน้ำ ซึ่งขณะนี้กรมชลประทานตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยของเขื่อนและอาคารชลศาสตร์ จำนวน 517 แห่ง โดยเชื่อมโยงข้อมูลจากผังน้ำร่วมด้วย

            มาตรการที่ 5 เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของทางน้ำอย่างเป็นระบบ โดยกรุงเทพมหานครได้ดำเนินการขุดลอกคูคลอง/คลองแล้วเสร็จ ระยะทาง 261 กิโลเมตร (กม.) ขุดลอกท่อระบายน้ำแล้วเสร็จ ระยะทาง 3,761 กม. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการกำจัดผักตบชวาแล้วกว่า 3.5 ล้านตัน

            มาตรการที่ 6 ซักซ้อมแผนเผชิญเหตุตั้งศูนย์ส่วนหน้าก่อนเกิดภัยและฟื้นฟูสภาพให้กลับสู่สภาพปกติ โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้เตรียมความพร้อมสถานที่อพยพ/ศูนย์พักพิง จำนวน 509 แห่ง และดำเนินการประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนเกษตรกรให้ได้รับทราบสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

            มาตรการที่ 7 เร่งพัฒนาและเก็บกักน้ำในแหล่งน้ำทุกประเภทช่วงปลายฤดูฝน ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำฐานข้อมูลกักเก็บน้ำในช่วงปลายฤดูฝน        

            มาตรการที่ 8 สร้างการรับรู้ความเสี่ยงและสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายในการติดตามเฝ้าระวัง รับมือภัยด้านน้ำ  โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์พิบัติภัยแผ่นดินถล่มใน 4 พื้นที่ คือ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดตาก จังหวัดเชียงราย และจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยกรมทรัพยากรธรณี

            มาตรการที่ 9 ติดตามประเมินผลปรับมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภัย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พร้อมจัดทำแผนปฏิบัติการพัฒนาระบบติดตามและรายงานผลการจัดทำแผนสำรองในการจัดการภัย

            “สทนช. ได้มีการจัดทำคู่มือการขับเคลื่อนการดำเนินการตามมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 เพื่อบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านน้ำในการขับเคลื่อนทั้ง 9 มาตรการให้เป็นรูปธรรมและลงพื้นที่ติดตามการบริหารจัดการน้ำเพื่อรับมือฤดูฝนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเน้นการบริหารจัดการแบบกลุ่มลุ่มน้ำ” เลขาธิการ สทนช.กล่าว

            แม้ทางภาครัฐจะเตรียมพร้อมมาตรการต่าง ๆ รับมือไว้ล่วงหน้าแล้วก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate change) รวมทั้งการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดิน เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ภัยพิบัติด้านน้ำในปัจจุบันทวีความรุนแรง ซึ่งในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นการจัดทำล่วงหน้า 2 ปี เช่นเดียวกับการจัดทำงบประมาณด้านน้ำ ที่จะต้องสอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเป็นไปอย่างมีระบบและยั่งยืนนั้น อาจจะไม่สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหาด้านน้ำได้อย่างรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ รัฐบาลจึงได้กำหนดให้มีมาตรการเตรียมความพร้อมในเชิงป้องกันและแก้ไขปัญหาในระยะเร่งด่วน
ซึ่งมีทั้งมาตรการที่ไม่ต้องใช้งบประมาณและมาตรการที่ต้องใช้งบประมาณ

            สำหรับมาตรการที่ต้องใช้งบประมาณในการดำเนินงานนั้น หน่วยงานที่ยังไม่มีงบประมาณรองรับ นอกจากจะสามารถเสนอขอรับการสนับสนุนจากงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ซึ่งจะมีการตรวจสอบโครงการให้สอดคล้องกับพื้นที่ที่ประสบปัญหาจริง สามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาเร่งด่วน ลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที ซึ่งเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2568 กนช. ได้เห็นชอบ (ร่าง) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนกรณีเร่งด่วนและเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก่อนนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี รวมทั้งสิ้นจำนวน 22,309 รายการ วงเงินรวมกว่า 122,142.84 ล้านบาท

            ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลต้องการแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วทันต่อสถานการณ์ และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยจะเน้นโครงการที่มีความพร้อมสามารถลงนามในสัญญาได้ภายในวันที่ 30 กันยายน 2568 และดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 1 ปี         ภายใต้กรอบการพัฒนา 5 ด้าน คือ 1.แผนงานการพัฒนาน้ำอุปโภคบริโภค 2.แผนงานการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ำเดิมและพัฒนาระบบกระจายน้ำ 3.แผนงานการพัฒนาพื้นที่เกษตรน้ำฝน 4.แผนงานการพัฒนาพื้นที่หน่วงน้ำและการป้องกันน้ำท่วมชุมชนเมือง และ 5.แผนงานการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศทรัพยากรน้ำ  

เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จทุกโครงการ จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงระบบประปาและมีน้ำสะอาดใช้เพิ่มขึ้น 2.43 ล้านครัวเรือน มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 1,071.68 ล้าน ลบ.ม. มีพื้นที่ทำการเกษตรนอกเขตชลประทานที่มีโอกาสเกิดภัยแล้ง 22.36 ล้านไร่ พื้นที่ได้รับการพัฒนาเป็นพื้นที่การเกษตรที่มีแหล่งน้ำและระบบกระจายน้ำ 5.13 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 22.94 พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซาก จำนวน 13.25 ล้านไร่ ได้รับการแก้ไขเป็นพื้นที่ที่ได้รับการป้องกัน 0.57 ล้านไร่ และบรรเทาน้ำท่วม จำนวน 0.36 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 2.71 นอกจากนี้ ยังสามารถลดการชะล้างพังทลายของดิน 162,750 ไร่ เกิดการจ้างแรงงานกระจายไปตามภูมิภาคต่าง ๆ ประมาณ 277,000 คน/เดือน โดยมีครัวเรือนได้รับประโยชน์จากการพัฒนาด้านทรัพยากรน้ำ 3.38 ล้านครัวเรือน มูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม 141,575.08 ล้านบาท

            “โครงการประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน กรณีเร่งด่วนและเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นโครงการที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ซึ่งจะสามารถสร้างความมั่นคงด้านน้ำ
ทั้งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและน้ำภาคการผลิต ฟื้นฟูแหล่งน้ำ ปรับปรุงระบบชลประทาน และพัฒนาพื้นที่แก้มลิง
เพื่อป้องกันน้ำท่วม พร้อมอนุรักษ์แหล่งน้ำธรรมชาติและฟื้นฟูป่าต้นน้ำเพื่อความยั่งยืนได้อย่างแน่นอน”
 เลขาธิการ สทนช. กล่าวยืนยัน