ทีมคนรุ่นใหม่ ชาติพัฒนากล้า ลงใต้ ปลุกเป้าหมาย สร้างไฟในชีวิต ให้นักศึกษา ม.ราชภัฎสุราษฎร์ธานี

ทีมงานคนรุ่นใหม่ พรรคชาติพัฒนากล้า ในโครงการ “My Life My Goal” นำโดย นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรค ผศ.ดร.เอราวัณ ทับพลี รองเลขาธิการพรรค นายวรนัยน์ วาณิชกะที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค และสองว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กรุงเทพมหานคร นางสาววิเวียน จุลมนต์ นางสาวกชพร คีรีโชติ ยกทีมไปร่วม ปลุกเป้าหมายสร้างไฟในชีวิตให้กับนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ และคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี โดยมีอนุวัตร์ รจิตานนท์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 และ นายวศุธน เรืองขนาบ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 5 จ.สุราษฎร์อาธานี เข้าร่วมสร้างแรงบันดาลใจด้วย โดยได้รับความสนใจจากนักศึกษาเป็นจำนวนมาก


นายวรวุฒิ กล่าวว่า สมัยเรียนตนติดเอฟ มากที่สุดในมหาวิทยาลัย เพราะไม่ตั้งใจเรียน แต่เมื่อวันหนึ่งต้องกำหนดเป้าหมายในชีวิตว่าเราจะไปอย่างไรต่อ เราก็พยายามและสู้กับมันจนผ่านมาได้ อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะไม่ใช่คนเรียนเก่ง แต่สิ่งที่ติดเป็นนิสัยมาจนถึงทุกวันนี้คือ ชอบอ่านหนังสือ ทำให้มีความรู้กว้าง และเมื่อเข้าสู่ในโลกธุรกิจ ระบบการพัฒนาตนเอง ความรู้ในห้องเรียนไม่พอ ต้องหาความรู้นอกตำราเรียน ที่ทำให้เราสามารถนำมาใช้คาดการณ์ธุรกิจ วางแผนชีวิต วางแผนธุรกิจ จนนำเข้าสู่ธุรกิจเครื่องเขียนหมื่นล้านได้ในเวลา 30 ปี ดังนั้นการเรียนไม่มีคำว่าจบการศึกษา เราสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต นักศึกษาที่อยู่ในวัยเรียนในวันนี้ สามารถกำหนดเป้าหมายในชีวิตได้ว่า เราอยากเป็น อยากทำอะไร และจะไปสู่เป้าหมายนั้นได้อย่างไร ใครคิดได้ก่อนก็ไปเร็วกว่า และสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ทุกสถานการณ์ เพราะในทุกวิกฤติมีโอกาส และในทุกโอกาสก็มีวิกฤตได้เช่นเดียวกัน
“การเรียน ป.ตรี สอนให้เรารู้ว่า มีอะไรอีกเยอะที่เราไม่รู้ การเรียน ป.โท ทำให้รู้ว่า มีอะไรอีกเยอะที่เราต้องรู้ต่อ และถ้าจะพัฒนาตนเองเพิ่มเติมก็ต้องเรียนเสริม โดยเฉพาะภาษา เพราะโลกอนาคตเป็นโลกของ Multi language รวมถึงภาษา Coding วันนี้เราอยู่ในอุตสาหกรรมการเรียนรู้ ต่อไปเราอาจจะเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มก็ได้ วางเป้าหมาย ฝันให้เยอะ พัฒนาตลอดเวลา เรียนรู้จากการทำงาน เรียนรู้คนอื่นให้มาก ในช่วง 10 ปี ตั้งแต่เรียนจบจนถึงวัยทำงาน เมื่อมาเจอกัน เพื่อนจะเริ่มแตกต่างกัน เพราะการพัฒนาจะอยู่ในช่วงนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญ ที่จะเป็นจังหวะก้าวไปสู่เป้าหมายความสำเร็จของชีวิต อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นของ My life my goal คือ การเมืองต้องดีก่อน เราต้องไม่ประนีประนอมกับคนโกง เลือกแบบไหน ก็ได้แบบนั้น วันนี้ชัดเจนว่า สังคมจะไม่มีทางเปลี่ยนได้ ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงการเมือง ถ้าอยากเห็นประเทศเปลี่ยนแปลงเลือกให้ดี” นายวรวุฒิ กล่าว
ด้านนายวรนัยน์ กล่าวว่า รัฐบาลใช้เงินมหาศาล เพื่อให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้ แต่วันนี้แค่ลืมตาอ้าปากไม่พอ เพราะโลกไปไกลมากแล้ว เราต้องพัฒนาอย่างจริงจัง เราต้องทันสมัย เราต้องล้ำสมัย แต่จะทำอย่างไรให้เกิด กองทุนสร้างสรรค์ หมื่นล้านธุรกิจสร้างสรรค์ ในงบประมาณหมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งจะเป็นกองทุน ที่คนทุกวัย ทุกวุฒิการศึกษา ที่มีความคิดสร้างสรรค์ ร่วมสร้างนวัตกรรมได้ แม้ว่าส่วนใหญ่ 70% ล้มเหลว นี่คือสัจจธรรมของการลงทุน แต่งบประมาณจะไม่สูญเปล่า เพราะยังมี 30% ที่สำเร็จ เพิ่มมูลค่าธุรกิจให้กับประเทศไทยได้อีกเป็นแสนล้าน และจะสามารถขับเคลื่อนประเทศไทย ไปสู่ประเทศพัฒนาได้ในอนาคต ธุรกิจจะสร้างสรรค์ได้อย่างไร ความสำเร็จจะเพิ่มเป็นเท่าตัวได้อย่างไรอนาคตอยู่ที่พวกเรา คนรุ่นใหม่ที่จะออกไปสานต่อ ไม่ว่าน้อง ๆ จะ ออกไปเป็นครู และจะสอนวิชาอะไรก็ตาม แต่ต้องสร้างวัฒนธรรมของเสรีภาพทางความคิด มีถก มีเถียง มีเสรีภาพทางการศึกษา เพราะจะทำให้ให้เกิดเสรีภาพทางเศรษกิจ และ เสรีการเมืองทางการเมืองตามมา ประเทศจะพัฒนาได้ ขึ้นอยู่กับครู ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสังคมสะท้อนการศึกษา
จากนั้นได้มีการเปิดโอกาสให้และแสดงความคิดเห็น น้องนักศึกษา บอกว่า ประเทศของเรา ถูกจำกัดด้วยการถูกตีกรอบ ทำให้เราไม่รู้เลยว่าเราสามารถทำอะไรได้อีกมาก และถ้าเราไม่ยืนในกรอบ และก้าวออกมาจากกรอบนั้น ก็จะกลายเป็นรอยยิ้มที่ยิ่งใหญ่ เพราะเท่ากับเราสามารถสู้กับตัวเองได้สำเร็จ และจะสามารถสู้กับคนอื่นได้ ยกตัวอย่าง ลิซ่า แบล็กพิงค์ กว่าจะมีชื่อเสียงโด่งดัง เขาก็เริ่มจากจุดเล็ก ๆ และยอมเสียโอกาสทางการศึกษา เพื่อตามหาโอกาสตัวเอง เขาเริ่มเดินทางไปเกาหลี จากเด็กคนนึงที่ตามหาความฝันของตัวเอง ไปสู่ศิลปินอันดับหนึ่งของโลกไม่ใช่เรื่องง่าย โดยนักศึกษาได้ยกคำคมที่ว่า “ฆ่าทุกคนด้วยความสำเร็จ และฝังเขาทั้งเป็นด้วยรอยยิ้มที่ยิ่งใหญ่”
ในขณะที่นักศึกษาอีกคน เสนอว่า อยากให้รัฐบาลผลิตครูที่ตรงสาย ไม่ใช่โยกครูไปสอนหลากหลายวิชา เพราะทุกวิชาชีพสำคัญ ที่ต้องเริ่มจากพื้นฐานที่แน่นจะสามารถต่อยอดไปสู่เป้าหมายได้มั่นคงกว่า
และเมื่อเปิดโอกาสให้ซักถาม น้องศึกษารายหนึ่ง ถามว่า จะเปลี่ยนความผิดหวังมาสู่ความสำเร็จได้อย่างไร ซึ่ง นายวรวุฒิ ตอบว่า ในวิกฤตมีโอกาสเสมอ โดยส่วนตัวก็เคยเจอวิกฤตมาหลายครั้ง แต่ก็คิดหาทางออกได้เสมอ เพราะการคิดนอกกรอบ ในสิ่งที่คนอื่นคาดไม่ถึง และยังไม่ได้ทำ เราเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ได้ ขณะเดียวกัน เราก็ระวังในโอกาสนั้นก็มีวิกฤตด้วยเช่นเดียวกัน อย่าตั้งเป้าหมายที่เราทำไม่ได้ เพราะความสำเร็จเป็นต้นทุนเรา และความล้มเหลวก็เป็นต้นทุนของเราเช่นเดียวกัน
ในขณะที่นักศึกษาหญิงอีกคน ถามทั้งน้ำตาว่า จะใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งไม่ชอบได้อย่างไร ขณะนี้เธอกำลังจะติด E ในวิชาหนึ่ง ซึ่งตนตนเองไม่ชอบ หาทางออกไม่เจอ ทั้งที่พยายามแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เพราะอยากจบพร้อมเพื่อน ๆ นายวรวุฒิ ตอบว่า ตอนเรียนอยู่ ยังไม่ได้ผ่านโลกมามาก เราจะรู้สึกว่าปัญหาตอนเรียนเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก ไม่ว่าจะสอบเข้าไม่ได้ หรือเรียนแล้วจะติด F ติด E แม้กระทั่งการเรียนไม่จบ 4 ปีแบบคนอื่น หรือแม้กระทั่งรีไทร์จากมหาวิทยาลัย แต่ น้อง ๆ เชื่อเถอะว่า พอเราอายุมากขึ้น ผ่านอะไรในชีวิตมามากเข้า ปัญหาตอนเรียน กลับเป็นปัญหาที่เล็กน้อยมากในชีวิต
นายวรวุฒิ กล่าวต่อว่า สมัยเรียนมหาวิทยาลัยนั้น ตนติดเอฟ มากมายจนไม่สามารถเรียนจบ 4 ปีแบบคนอื่นได้ มาจบตอน 4 ปีครึ่ง เมื่อโตขึ้นย้อนคิดไปก็พบว่าเหตุที่ F เยอะ เป็นเพราะตอนนั้น ไม่ได้ตั้งใจสู้กับมันเต็มที่เท่านั้นเอง และเราหนีมัน เอาจริงๆแล้ว ถ้าเราเรียนแค่ผ่าน แค่ไม่ติด E มันไม่ยากเกินความสามารถเราหรอก ตั้งใจอ่านหนังสือ ทำแบบฝึกหัดทำข้อสอบเก่า ๆ สัก 2-3 เดือนมันก็พอจะเอาตัวรอดได้แล้วถ้าเราเอาแค่ผ่านเท่านั้น ตนเคยติด F มา 7-8 วิชา บางวิชาอย่าง Math 111 ลง 7 รอบกว่าจะผ่านมาด้วยเกรด D+ เท่านั้น มันก็ผ่านมาได้ในที่สุด และวันนี้ ไม่ว่าตนจะประสบความสำเร็จอะไรมามากแค่ไหน แต่ฝันร้ายในชีวิตที่ฝันมาตลอดหลายสิบปี คือฝันว่าอยู่ในห้องสอบแล้วนั่งโง่ ๆ ทำข้อสอบไม่ได้ เป็นช่วงเวลาที่ทำร้ายเรามาตลอดชีวิตเลยทีเดียว ดังนั้น ในฐานะที่เคยตกอยู่ในสภาพเดียวกับน้องหรือเลวร้ายกว่าน้องด้วยซ้ำ เพราะต้องมานั่งคำนวณแทบทุกเทอมว่า ตัวเองจะรีไทร์มั้ย อยากจะบอกน้องว่ากัดฟันสู้กับมัน อย่าให้กลายเป็นฝันร้ายในชีวิตเรา แบบที่ตนเป็นมาตลอดหลายสิบปีเลย

“เอาเข้าจริงแล้ว การเรียนมันไม่ได้มีอิทธิพลกับชีวิตเราเท่าการทำงานครับ ตัวผมเองและคนอื่นอีกหลาย ๆ คน ที่ติด F หรือแม้กระทั่ง รีไทร์เรียนไม่จบป.ตรี กลับมีชีวิตการทำงานที่เจริญเติบโต มั่งคังร่ำรวยกว่าคนเรียนได้เกียรตินิยมหลายคนด้วยซ้ำ การเรียนเป็นแค่จุดเริ่มต้น เพื่อให้เราต่อยอดในชีวิตการทำงาน เพื่อหาเลี้ยงชีพ สร้างครอบครัว สร้างความมั่งคั่ง เราสร้างความมั่งคั่งร่ำรวย เพื่อที่จะมีชีวิตที่มีความสุขแต่ถ้าเรามีชีวิตที่มีความสุขอยู่แล้ว ความร่ำรวยก็ไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นน้องต้อง มองภาพใหญ่ ตั้งเป้าหมายชีวิตตัวเองให้ถูกต้องปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตมันจะมีเข้ามาหาเราเรื่อย ๆ และใหญ่ขึ้นซับซ้อนขึ้นตามช่วงอายุเราแค่ตั้งสติสู้กับมัน อย่าหนีมันก็พอแล้วทุกอย่างเราจะผ่านไปได้ด้วยดีครับ” นายวรวุฒิ กล่าว

ขณะที่นายวรนัยน์ กล่าวเสริมว่า ปัญหาของนักศึกษาที่ต้องตกอยู่สภาพความเครียด เสี่ยงกับภาวะซึมเศร้า มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นสิ่งที่ ระบบการศึกษาไทย ต้องให้ความสำคัญ และต้องเร่งแก้ไขปัญหา เพราะไม่เช่นนั้นเด็กก็จะหาทางออกให้กับตัวเองโดยการฆ่าตัวตายบ้าง ทำร้ายตัวเองบ้าง ซึ่งไม่เป็นผลดีกับใครเลย